คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (18) อนาคตของบูชิโด
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่รักครับ ในที่สุดก็มาถึงบทสุดท้ายของหนังสือ “บูชิโด” โดย นิโตเบะ อินาโซ แล้วนะครับ เอาล่ะครับ เตรียมตัวเตรียมใจกัน เข้าสู่บทสุดท้ายกันเลยนะครับ ว่าด้วยอนาคตของบูชิโดหลังจากนี้ไป (คือหลังจากยุคเมจิไป)
ความแตกต่างที่น่าสังเกตประการหนึ่งระหว่างประสบการณ์ของยุโรปกับญี่ปุ่นก็คือ ในขณะที่ในยุโรปเมื่อลัทธิอัศวิน (Chivalry) ถูกหย่านมจากระบบศักดินาและถูกรับเลี้ยงโดยคริสตจักร อัศวินก็มีที่ทางใหม่ให้ชีวิต ในญี่ปุ่นไม่มีศาสนาใดใหญ่พอที่จะหล่อเลี้ยงมัน ดังนั้น เมื่อสถาบันแม่คือระบบศักดินาหมดสิ้นไป บูชิโดที่ถูกทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้า จึงต้องขยับเปลี่ยนเพื่อตัวเอง
องค์กรทหารที่ซับซ้อนในปัจจุบันอาจเอามันมาอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของมันได้ แต่เรารู้ว่าสงครามสมัยใหม่มีพื้นที่ให้เพียงเล็กน้อยสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของมัน ลัทธิชินโต ซึ่งอุปการะมันตั้งแต่ยังเป็นทารก ตัวมันเองก็ล้าสมัยไปแล้ว บรรดาปราชญ์ผมหงอกของจีนโบราณ กำลังถูกแทนที่ด้วยปัญญาชนประเภทเบนแธม (Jeremy Bentham นักปรัชญาชาวอังกฤษผู้ก่อตั้งลัทธิประโยชน์นิยมสมัยใหม่) และมิลล์ (John Stuart Mill นักคิดผู้ทรงอิทธิพลในสายลัทธิเสรีนิยมดั้งเดิม) ทฤษฎีทางศีลธรรมประเภทสบายๆ ซึ่งประจบสอพลอกับแนวโน้มคลั่งชาติของยุคสมัย
และด้วยเหตุนี้ แนวคิดที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของทุกวันนี้ได้ดีนั้น ได้รับการประดิษฐ์และเสนอเพื่อพิจารณา แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังได้ยินเพียงเสียงแหลมของพวกมัน ที่สะท้อนผ่านคอลัมน์ของสื่อสีเหลือง (yellow journalism)
เจเรมี เบนธัม (ที่มา wikipedia)
จอห์น สจ๊วต มิลล์ (ที่มา wikipedia)
อธิบายศัพท์นิดนึงครับ
สื่อสีเหลือง (yellow journalism) หมายถึง สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งประกอบด้วยสารสนเทศที่ผิดๆ หรือเรื่องหลอกลวงอย่างจงใจ ถ้าเป็นสมัยนี้คงเทียบได้กับเฟคนิวส์ หรือการเล่นกับกระแสโซเชียลเพื่อเร้าอารมณ์ หลอกลวง หรือกุเรื่องขึ้น เพื่อเรียกยอดวิวยอดไลค์ หรือชักจูงทางแนวคิดการเมือง (ดังที่ “คนบางกลุ่ม” ในประเทศไทยขณะนี้ใช้กันน่ะแหละ น่าขำที่เราในศตวรรษที่ 21 ก็ยังไม่ได้เจริญในทางปัญญาไปมากกว่าคนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเลย)
ภาพล้อความเลวร้ายของสื่อ “สมัยใหม่” เช่น การรับเงินแล้วอวยจนเวอร์ (paid puffery) การนินทาป้ายร้าย (scandal) ข่าวที่บิดเบือนให้สับสน (garbled news) ภาพนี้ลงตีพิมพ์เมื่อปี 1888 ผ่านมากว่าหนึ่งศตวรรษ ในยุคที่ใครอยากจะสื่ออะไรก็ได้ในโซเชียล ความเลวร้ายพวกนี้นอกจากไม่ได้หายไปแล้ว ยังยิ่งยกระดับไปอีก! (ที่มา wikipedia)
อาณาเขตและอำนาจทั้งหลาย ถูกจัดแถวโดยขัดกับศีลแห่งอัศวิน ดังที่ Veblen กล่าวไว้แล้ว “ความเสื่อมโทรมของประมวลพิธีการ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า การทำให้ชีวิตหยาบต่ำ (vulgarization of life) ในหมู่ชนชั้นอุตสาหกรรม ได้กลายเป็นหนึ่งในความเลวร้ายที่สำคัญประการหนึ่งของอารยธรรมยุคสุดท้ายในสายตาของทุกผู้คนที่มีความอ่อนไหวละเอียดอ่อน”
กระแสที่ไม่อาจต้านทานได้ของระบอบประชาธิปไตยที่มีชัย ซึ่งไม่สามารถอดกลั้นต่อรูปแบบหรือรูปร่างของความพิทักษ์ใดๆ ได้ และบูชิโดเป็นความพิทักษ์ที่จัดตั้งขึ้นโดยผู้ที่ผูกขาดทุนสำรองของสติปัญญาและวัฒนธรรม กำหนดระดับและคุณค่าของคุณสมบัติทางศีลธรรมไว้ตายตัว ตัวมันเพียงลำพังก็ทรงพลังเพียงพอที่จะกลืนกินเศษซากของบูชิโดได้
พลังทางสังคมในปัจจุบันเป็นปฏิปักษ์ต่อจิตวิญญาณของชนชั้นต่ำ และลัทธิอัศวินก็เป็นจิตวิญญาณแห่งชนชั้น ดังที่เสรีชน (พวกเสรีนิยม?) วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง สังคมสมัยใหม่หากแสร้งทำเป็นว่ามีเอกภาพใดๆ ย่อมไม่อาจยอมรับ “ภาระผูกพันส่วนบุคคลล้วนๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อประโยชน์ของชนชั้นจำเพาะ”
ยังมีอีกคือ ความก้าวหน้าของการสั่งสอนที่ได้รับความนิยม ของศิลปะอุตสาหกรรมและนิสัย ของความมั่งคั่ง และของชีวิตในเมือง แล้วเราจะเห็นได้ง่ายๆ ว่าทั้งคมดาบที่เฉียบคมที่สุดของดาบซามูไร หรือลูกศรที่ยิงแม่นที่สุดจากคันธนูที่กล้าแกร่งที่สุดของบูชิโด ก็ยังไม่มีประโยชน์อันใด
รัฐที่สร้างขึ้นบนศิลาแห่งเกียรติยศและเสริมกำลังด้วยสิ่งเดียวกัน เราจะเรียกมันว่า Ehrenstaat (“รัฐอันทรงเกียรติ”) หรือตามแบบของคาร์ไลล์ว่า Heroarchy (วีรบุรุษาธิปไตย?) กำลังตกไปอยู่ในมือของทนายความจอมตลบตะแลงและนักการเมืองพูดพล่ามพล่อยๆ ซึ่งติดอาวุธด้วยจักรกลสงครามที่สับตรรกะเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว คำพูดที่นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ใช้ในการพูดถึงเทเรซาและแอนติโกเนอาจใช้ซ้ำกับซามูไรได้อย่างเหมาะสมว่า “สื่อซึ่งการกระทำอันเร่าร้อนของพวกเขาก่อรูปขึ้นมานั้นได้สูญสิ้นไปตลอดกาลแล้ว”
ผมอ่านมาถึงตรงนี้ รู้สึกอึ้ง แปลไปอ่านไปต้องกลั้นหายใจไป กับวิสัยทัศน์ของท่านผู้เขียน ที่มองจากปัจจุบันแล้วเลยไปถึงอนาคตข้างหน้า สมแล้วที่เป็นรัฐบุรุษของชาติญี่ปุ่น
ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้แล้วออกตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2442
การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2509 อะไรที่เป็นวัฒนธรรมโบราณบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของศักดินา ทุบทิ้งมันเสียให้สิ้น
(ที่มา catawiki)
เขมรแดงเริ่มกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อปี พ.ศ. 2518 จุดประสงค์คือเพื่อให้ประเทศนี้มีแต่ชาวนา (เราไม่ต้องการหมอ ครู ผู้มีความรู้การศึกษาอะไรทั้งสิ้น)
(ที่มา flickr)
ประเทศไทย ไม่กี่ปีมานี้ มีพวกฝ่ายซ้ายชูคำว่า “เท่าเทียม” ออกมาสร้างกระแสให้คนล้มล้างทุกอย่างที่เป็นการแสดงออกถึงการมีชนชั้น จนถึงขั้นที่บอกว่า ไม่ต้องเรียกว่าพ่อแม่ลุงป้าน้าอาครูบาอาจารย์แล้ว ให้เรียกว่า “คุณ” กันให้หมด (การเรียกคนอื่นในสังคมด้วยคำเรียกนับญาติ ผมไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องชนชั้นหรือการเอาอาวุโสเข้ามากดขี่ตรงไหน จริงๆ มันคือการแสดงออกถึงความเป็นมิตร (friendliness) การให้ความเป็นกันเอง (ไม่ถือตัวหรือจงใจสร้างระยะห่าง) ด้วยซ้ำ และการให้ความเป็นมิตร เป็นกันเอง มันก็เป็นคุณค่าอย่างหนึ่งของสังคมไทยคนไทย ที่ทำให้คนในสังคมอยู่อย่างผาสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ จริงๆ สังคมไทยตั้งแต่หลัง ค.ศ. 2000 อะไรต่างๆ เหมือนจะปูทางไปสู่ขบวนการของคนพวกนี้มาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่การแพร่หลายของคำหยาบคายออกสื่อ พร้อมกับค่านิยมผิดๆ จำพวกว่า พูดคำหยาบแปลว่าจริงใจ บลาๆๆๆ
เหล่านี้ ล้วนเป็นกรณีตัวอย่างของ การทำให้ชีวิตหยาบต่ำ (vulgarization of life) กล่าวคือการเอารูปแบบคำพูดความคิดความประพฤติอย่าง “คนชั้นต่ำ” ขึ้นมาเป็นใหญ่ (เป็นกระแสหลัก) เพื่อทุบทำลายระบบคุณค่าและระบบศีลธรรม จริยธรรม ที่เคยมีอยู่มาแต่เดิม ด้วยการสร้างผู้ร้ายที่น่าเกลียดน่าชังชื่อว่า “ชนชั้นศักดินา” อาศัยความโลภ โกรธ หลง ของคนหมู่มาก เป็นตัวขับเคลื่อนให้ขบวนการสำเร็จสมใจผู้ก่อการ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้วประเทศชาติ จนถึงประชาชนคนหมู่มาก (รวมถึงพวกที่หลงผิด) เมื่อก่อการจนสำเร็จสมใจแล้ว มันจะมีอะไรดีหรือเปล่า? จีนแผ่นดินใหญ่ต้องรอให้เหมาเจ๋อตุงตายไปซะก่อน เติ้งเสี่ยวผิงถึงได้กล้าคิดใหม่ทำใหม่ ชูแนวทาง “สี่ทันสมัย” เมืองจีนถึงจะกลับลำค่อยมารุ่งเรือง (ขึ้นจากความล้าหลัง) ได้ ส่วนเขมร ก็เป็นอย่างที่ท่านๆ รับรู้ คงไม่ต้องพูดอะไรให้มากไป
…ส่วนประเทศไทยจะเป็นยังไงต่อไป ก็ขึ้นอยู่จิตสำนึกของ “ทุกท่าน” ในฐานะที่เป็นคนไทย อยากจะนำพาประเทศชาติไปในทางไหน…
ว่ากันว่าญี่ปุ่นชนะสงครามกับจีนครั้งล่าสุดด้วยปืนมูราตะและปืนใหญ่ครุปป์ กล่าวกันว่าชัยชนะดังกล่าวเป็นผลงานของระบบโรงเรียนสมัยใหม่ แต่สิ่งเหล่านี้มีความจริงน้อยกว่าครึ่ง เคยมีหรือไม่ที่เปียโน ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือดีที่สุดของ Ehrbar หรือ Steinway จะระเบิดออกมาเป็นเพลงแรปโซดีของลิสท์ (Franz Liszt คีตกวีชาวฮังการี) หรือเพลงโซนาต้าของบีโธเฟ่น โดยปราศจากมือของปรมาจารย์? หรือถ้าปืนชนะการต่อสู้ ทำไมหลุยส์ นโปเลียนจึงไม่ชนะปรัสเซียด้วยปืนกล Mitrailleuse ของเขา หรือชาวสเปนจึงไม่ชนะชาวฟิลิปปินส์ด้วยปืนเมาเซอร์ของพวกเขา ซึ่งอาวุธของพวกนั้นไม่ได้ดีไปกว่าปืนเรมิงตันแบบเก่าเลย ไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำสิ่งที่พูดซ้ำซากว่า มันคือจิตวิญญาณที่เป็นตัวเร่งเร้า หากปราศจากการนำไปปฏิบัติให้เกิดผลที่ดีที่สุดแล้วก็จะได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ปืนและปืนใหญ่ที่ได้รับการปรับปรุงมากที่สุดนั้นไม่ได้ยิงจากตัวมันเอง ระบบการศึกษาที่ทันสมัยที่สุดไม่ได้ทำให้คนขี้ขลาดกลายเป็นวีรบุรุษ ไม่! สิ่งที่ชนะการต่อสู้บนแม่น้ำยาลูในโคเรียและแมนจูเรีย คือวิญญาณของบรรพบุรุษของเรา คอยชี้นำมือของเราและเต้นอยู่ในใจของเรา พวกเขายังไม่ตาย วิญญาณเหล่านั้น วิญญาณของบรรพบุรุษที่ใฝ่สงครามของเรา ผู้ที่มีตามองเห็นย่อมมองเห็นได้ชัดเจน
ลองคุ้ยเขี่ยแนวคิดขั้นสูงสุดของญี่ปุ่นดู แล้วเขาจะแสดงให้เห็นซึ่งซามูไร ดังที่ศาสตราจารย์แครมบ์แสดงไว้อย่างเหมาะเจาะ ว่ามรดกอันยิ่งใหญ่แห่งเกียรติยศ ความกล้าหาญ และคุณธรรมอย่างทหารทั้งหมดนั้น “เป็นของพวกเราในความพิทักษ์ ศักดินาที่ไม่อาจเอาไปได้จากผู้วายชนม์และคนรุ่นต่อๆ ไป” และหมายเรียกในปัจจุบันคือ ปกป้องมรดกนี้ ไม่ลดหย่อนแม้เศษเสี้ยวของจิตวิญญาณโบราณ หมายเรียกในอนาคคคือ เพื่อขยายขอบเขตให้กว้างขึ้นเพื่อนำไปใช้ในทุกสาขาและทุกความสัมพันธ์ของชีวิต
ผม…รู้สึกทึ่ง…ไม่มีคำบรรยายครับ
ศาสนาคริสต์และลัทธิวัตถุนิยม (รวมถึงลัทธิประโยชน์นิยม) หรืออนาคตจะลดระดับพวกมันไปเป็นรูปแบบที่เก่าแก่กว่านั้น อย่าง Hebraism (ศาสนายิว?) และ Hellenism (ลัทธิกรีกโบราณ?) หรือจะแบ่งโลกระหว่างพวกมัน ระบบศีลธรรมที่เล็กกว่าจะเอาตัวเองไปเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อให้ตัวเองดำรงอยู่ แล้วบูชิโดจะไปสมัครเข้าฝ่ายไหน? เมื่อไม่มีหลักศาสนา (dogma) หรือสูตรที่จะป้องกันตัว มันอาจหายไปในฐานะที่เป็นรูปธรรมหนึ่ง (an entity) เหมือนดอกซากุระที่พร้อมใจตายเมื่อได้รับลมกระโชกแรกยามเช้า
แต่การสูญพันธุ์โดยสิ้นเชิงนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นมากนัก ใครสามารถพูดได้ว่าลัทธิสโตอิกตายไปแล้ว? มันตายไปแล้วในฐานะที่เป็นระบบอันหนึ่ง แต่มันยังมีชีวิตอยู่ในฐานะที่เป็นคุณธรรมอันหนึ่ง พลังงานและความมีชีวิตชีวาของมันยังคงสัมผัสได้ผ่านช่องทางชีวิตมากมาย ในปรัชญาของประเทศตะวันตกทั้งหลาย ในหลักนิติศาสตร์ของโลกที่เจริญแล้วทั้งหมด ไม่ว่าที่ใดที่มนุษย์พยายามดิ้นรนเพื่อยกระดับตนเองเหนือตนเอง ที่ใดก็ตามที่วิญญาณของเขาเป็นนายเหนือเนื้อหนังของเขาด้วยความพยายามของเขาเอง ที่นั่นเราจะเห็นวินัยที่เป็นอมตะของซีโน (Zeno of Citium ผู้ก่อตั้งลัทธิสโตอิก) กำลังทำงานอยู่
บูชิโดในฐานะกฎเกณฑ์ของจริยธรรมของมันเองโดดๆ อาจดับหายไป แต่อำนาจของมันจะไม่สูญสลายไปจากโลก สำนักแห่งความกล้าหาญของทหารหรือเกียรติยศของพลเมืองอาจถูกรื้อทำลาย แต่แสงสว่างและเกียรติยศของมันจะคงอยู่ต่อไปในซากปรักหักพังของพวกมัน เช่นเดียวกับดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของมัน (หมายถึงดอกซากุระ) หลังจากที่มันถูกพัดไปตามลมทั้งสี่ มันก็จะยังคงอวยชัยให้พรมนุษยชาติด้วยกลิ่นหอมซึ่งจะช่วยทำชีวิตให้อุดม ยุคสมัยผ่านไป เมื่อธรรมเนียมของมันถูกฝังและชื่อของมันถูกลืมไป กลิ่นของมันก็จะลอยมาในอากาศราวกับมาจากเนินเขาที่ห่างไกลออกไปซึ่งไม่มีใครมองเห็น “เพ่งมองข้างทางไปไกลโพ้น” ดังในภาษาอันไพเราะของกวีเควกเกอร์
“The traveler owns the grateful sense
Of sweetness near, he knows not whence,
And, pausing, takes with forehead bare
The benediction of the air.”
(“นักเดินทางยอมรับความรู้สึกขอบคุณ
ต่อความหวานชื่นที่อยู่ใกล้ เขาไม่รู้ว่ามาจากไหน
และ หยุดชั่วคราว โดยเปลือยหน้าผาก
รับเอาพรแห่งอากาศ”)
เซโนแห่งซิเทียม (ที่มา wikipedia)
จบบริบูรณ์ครับ
มีหลายสิ่งที่ผมอยากจะอภิปราย แต่ขอยกไว้ เป็นสัปดาห์หน้าได้ไหมครับ?
บอกแล้วสุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายสุด
มาอ่านกันอีกทีอาทิตย์หน้านะครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (17) บูชิโดไม่มีวันตาย
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (16) บูชิโดสร้างชาติ
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (15) ผู้หญิงกับบูชิโด
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (14) ดาบซามูไร จิตวิญญาณแห่งซามูไร
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (13) การล้างแค้นเพื่อคุณธรรม (คาตากิ-อุจิ 敵討ち)
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (18) อนาคตของบูชิโด