พนักงานในอุดมคติของบริษัท – ญี่ปุ่นชอบพนักงานแนว Generalist แต่ไทยชอบพนักงานแนว Specialist
ชาวญี่ปุ่นนั้น หากคิดจะประกอบอาชีพเป็นมืออาชีพด้านใดด้านหนี่งเป็นพิเศษในลักษณะของ Specialist มักจะไม่นิยมเรียนต่อมหาวิทยาลัย บางรายอาจไม่เรียนต่อมัธยมปลายด้วยซ้ำ แต่จะเลือกเรียนต่อวิทยาลัยวิชาชีพเฉพาะทางเพื่อประกอบอาชีพที่ตั้งใจไว้ แทนที่จะเข้าเรียนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย โดยความนิยมนี้เป็นลักษณะร่วมกันทั้งประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่เมืองไทยจะนิยมเรียนต่อมหาวิทยาลัยสำหรับชาวไทยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ ส่วนชนบทของไทยส่วนใหญ่ก็จะไม่เรียนต่อปริญญาตรีกันนัก เนื่องจากประเทศไทยมีค่านิยมที่หลากหลายมากกว่าระหว่างเมืองหลวงและชนบท
แต่เมื่อชาวญี่ปุ่นตัดสินใจเรียนต่อปริญญาตรี และเริ่มสมัครงานเข้าทำงานในภาคธุรกิจอย่างเช่นระบบบริษัท บริษัทญี่ปุ่นกลับจะคาดหวังให้พนักงานเป็น Generalist ผู้รอบรู้หลายศาสตร์แทน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภาคธุรกิจญี่ปุ่นซึ่งแตกต่างจากชาติอื่น เพราะมีการพัฒนาพนักงานในทิศทางให้เป็น Generalist เช่นนี้
กล่าวคือ ญี่ปุ่นจะนิยมสมัครงานเป็นฤดูกาล ต่างจากของไทยที่สมัครได้ตลอดปี ตลอดเวลา ที่ญี่ปุ่นจะมีฤดูสมัครงานในกระแสหลักเพียง 1 ครั้งต่อปีสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ทำงาน (อาจจะมีอีก 1 ครั้งสำหรับผู้มีประสบการณ์ทำงานที่ต้องการเปลี่ยนงาน) เช่น เมื่อนักศึกษาขึ้นปี 3 ภาคเรียน 2 ก็จะต้องเริ่มกิจกรรมการหางาน (ที่เรียกว่า ชูโชะคุ-คัตสึโด 就職活動) ได้แล้วเนื่องจากที่ญี่ปุ่นกินเวลาในการหางานนานเกิน 1 ปี
เริ่มจากการตระเวนฟัง Open House ของบริษัทต่าง ๆ ที่มาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับบริษัทตัวเอง และนักศึกษาจะเริ่มเก็บข้อมูลหาบริษัทในฝัน จากนั้นเริ่มตระเวนสอบข้อเขียน โดยเฉลี่ยนักศึกษาจะสมัครประมาณ 10 กว่าบริษัท จนถึง 50 กว่าบริษัทก็มี และตระเวนสอบข้อเขียน จะใช้เวลาในมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 4 ในการตระเวนสอบเพื่อสมัครงาน แทนที่จะใช้ในการเรียนที่มหาวิทยาลัย ยิ่งบริษัทที่เข้ายากอัตราการแข่งขันสูง ก็จะยิ่งมีการสอบหลายรอบ อาจสอบข้อเขียน 3 รอบ และ สอบสัมภาษณ์ 2 รอบ เป็นต้น
บริษัทมักจะนิยมจ้างพนักงาน “ที่มีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต” มากกว่าพนักงานที่ “เก่งอยู่แล้วในปัจจุบัน” เนื่องจากญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มความคาดหวังที่จะจ้างงานตลอดชีพหลงเหลืออยู่ อยากให้พนักงานทำงานที่เดิมไปตลอดชีวิตจนกว่าจะเกษียณ จึงไม่นิยมตัดสินพนักงานจากวุฒิที่เรียนจบมา แต่ตัดสินจากแบบทดสอบและการสัมภาษณ์เพื่อหา “อนาคตที่น่าจะเป็น” ของพนักงานคนนั้น แทนที่จะเป็น “ปัจจุบัน” ของพนักงานคนนั้น จะดูว่าพนักงานคนนั้นมีทัศนคติที่น่าจะเรียนรู้สิ่งใหม่และเติบโตไปได้มากเพียงใด มากกว่าความสามารถในปัจจุบันของพนักงาน จุดนี้อาจทำให้การคัดเลือกของบริษัทญี่ปุ่นดูเข้าใจยากสำหรับชาวต่างชาติ
เมื่อรับพนักงานเข้ามาแล้ว ก็ไม่นิยมให้ทำงานสายเดิมนานเกินไป เช่น สมมุติว่าอาจเรียนจบคณะนิเทศศาสตร์มา แต่เมื่อเข้าบริษัทแล้วจู่ ๆ ก็ให้ไปอยู่แผนกไอที แล้วให้เรียนรู้งานแผนกไอทีเพื่อจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไอที แต่เมื่อทำงานแผนกไอทีไปสัก 3-5 ปี จู่ ๆ ก็อาจได้รับคำสั่งให้ Rotate ย้ายไปอยู่แผนกบัญชีก็เป็นได้ คือการตัดสินใจรับพนักงานและย้ายพนักงานไปแผนกต่าง ๆ ของญี่ปุ่นนั้นมักจะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของวุฒิการศึกษาที่เรียนจบมาเลย วัตถุประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการให้พนักงานเป็น Generalist ผู้รอบรู้หลายศาสตร์ และ เติบโตเป็นผู้บริหารที่เชื่อมโยงหลายวิชาชีพได้ในอนาคต บริษัทจะได้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ลักษณะเช่นนี้เกิดที่ไทยได้ยากมาก เนื่องจากสภาพสังคมของไทย รวมทั้งกฎเกณฑ์ของไทย มีความเข้มงวดมากกว่า และเวลาสมัครงานเราก็จะดูชื่อวุฒิการศึกษามากกว่าญี่ปุ่น ในยุคปัจจุบันเมืองไทยยังใช้ระบบ Applicant Tracking System (ATS) ที่เป็นระบบหา Keywords ของวุฒิการศึกษาและคุณสมบัติที่ต้องการ ทำให้เมืองไทยค่อนข้างยึดติดกับ “ชื่อวุฒิ” อย่างมาก ในลักษณะของการเน้นพนักงานที่เป็น Specialist และแม้จะเปลี่ยนงานก็มักจะเปลี่ยนงานสายใกล้เคียงเดิมเพื่อสร้างให้ตัวเองเป็น Specialist ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพกลุ่มนั้น ซึ่งต่างจากญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิงที่เน้นสร้างพนักงานให้รู้รอบหลายศาสตร์แบบ Generalist มากกว่า
ความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับองค์กรญี่ปุ่นในประเทศไทย เนื่องจากเป็นแหล่งรวมการปะทะกันของแนวคิดทั้งสองระหว่าง Generalist VS Specialist ซึ่งความเข้าใจความแตกต่างระหว่างญี่ปุ่นและไทย รวมทั้งการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างความคาดหวังที่แตกต่างกัน และช่วยให้การสร้างวัฒนธรรมองค์กรในบริษัทนั้น ๆ ราบรื่นมากขึ้นได้
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– การล่ามและการแปลภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย
– การฝึกคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking) และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพด้วย “ฟ้า-ฝน-ร่ม (โซระ-อะเมะ-คะซะ)”
– Soft Power และกรุงโรม ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว: มาพิจารณาการพัฒนา Soft Power ของญี่ปุ่นกัน
– รีวิว “มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ของญี่ปุ่นเทียบกับของไทย
– โฮ-เร็น-โซในยุคดิจิทัล: ตัวอย่างการประยุกต์ใช้จริงแบบง่าย ๆ
ขอบคุณรูปภาพจาก
https://workinjapan.today/work/japanese-offices-things-learned/
https://www.ecovis.com/global/equal-pay-for-equal-work-in-japan/
#พนักงานในอุดมคติของบริษัท – ญี่ปุ่นชอบพนักงานแนว Generalist แต่ไทยชอบพนักงานแนว Specialist