ต้อนรับ Pride Month กับตำนาน LGBTQ+ แดนอาทิตย์อุทัย!
ถึงแม้ Pride Month จะผ่านมาได้เกินกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่ก็น่าจะยังไม่สายเกินไปที่จะมาทำความรู้จักกับเรื่องราวของ LGBTQ+ ในญี่ปุ่น แม้ว่าในความรู้สึกของผู้คนทั่วไปนั้น ญี่ปุ่นอาจจะยังไม่ได้เป็นประเทศที่เปิดกว้างยอมรับความหลากหลายในเรื่องเพศกันอย่างออกหน้าออกตาเหมือนในบ้านเรา แต่จริงๆ แล้วประเทศนี้ก็มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ มายาวนานและค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งคราวนี้เราจะขอนำบางส่วนมาให้ได้อ่านกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ปะ… เริ่มเลย!
Shogun Ashikaga Yoshimitsu และ Zeami
หนึ่งในคู่รักซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องการกิ๊กกั๊กกับเพศเดียวกันในยุคโบราณของญี่ปุ่นนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องราวของท่านโชกุนและนักแสดงหนุ่มซึ่งเป็นที่โปรดปรานอย่าง โชกุน อาชิคางะ โยชิมิตสึ และนักแสดงหนุ่มทายาทเจ้าของคณะละครโนห์ที่ชื่อ เซอามิ โดยโชกุนโยชิมิตสึนั้นนับเป็นหนึ่งในโชกุนซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงและความสำคัญ เนื่องจากเป็นโชกุนผู้ที่สามารถทำการเจรจารวมเอาประเทศญี่ปุ่นซึ่งในตอนนั้นแบ่งการปกครองเป็นตอนเหนือและตอนใต้ โดยมีจักรพรรดิ์สององค์เป็นผู้ปกครองในดินแดนของตนเอง จนทั้งสองฝ่ายยอมรวมดินแดนและปกครองร่วมกัน โดยราชวงศ์แต่ละฝั่งจะสลับกันขึ้นปกครองประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นรวมเป็นปึกแผ่นอย่างไม่แบ่งแยกกันได้ – – โชกุนโยชิมิตสึมีโอกาสได้ทอดพระเนตรละครโนห์ ซึ่งมีเซอามิที่อายุเพียง 11 ปีในขณะนั้นแสดงนำ โดยหลังการแสดงครั้งนี้ เซอามิได้รับการยอมรับในเรื่องของฝีมือการแสดงอย่างกว้างขวาง และยังเป็นที่ถูกตาต้องใจท่านโชกุนตั้งแต่นั้นมา เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้คนทั้งหลายว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นค่อนข้างจะสนิทสนมกันเกินกว่าธรรมดา เซอามินั้นได้รับโอกาสให้เข้าไปศึกษาปรัชญาและวรรณคดีชั้นสูงต่างๆ จากทางราชสำนัก จนเขานำมาเขียนบทละครโนห์เพิ่มขึ้นอีกราว 30 – 50 เรื่องเลยทีเดียว – – หลังจากรุ่งเรืองอยู่ระยะใหญ่ ในช่วงหลังโชกุนอาชิคางะกลับไปสนใจที่จะให้การสนับสนุนนักแสดงในคณะละครคู่แข่งของเซอามิที่มีชื่อว่าอินุโอะ (Inuoh) มากกว่า และภายหลังจากโชกุน อาชิคางะ โยชิมิตสึ ได้ลาโลกไป โชกุนคนใหม่ที่มีชื่อว่า อาชิคางะ โยชิโมจิ (Ashikaga Yoshimochi) นั้นกลับไม่ค่อยปลื้มเซอามิซักเท่าไหร่ แต่เซอามิก็ยังคงมีชื่อเสียงอย่างต่อเนื่องอยู่ในหมู่พ่อค้าผู้มั่งคั่ง จนกระทั่งถึงยุคของโชกุนโยชิโนริ (Ashikaga Yoshinori) หลังจากที่โชกุนโยชิโมจิจากไป ถือเป็นยุคสุดท้ายของเซอามิ เนื่องจากโชกุนโยชิโนรินั้นโปรดปรานในตัวของ อนนามิ (Onnami) ซึ่งเป็นนักแสดงนำในคณะละครโนห์และยังเป็นบุตรบุญธรรมของเซอามิมากกว่า โดยในปี 1434 โชกุนโยชิโนริได้ทำการเนรเทศเซอามิในวัย 72 ปี ไปยังเกาะซาโดะอันห่างไกล โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นเพราะเหตุใด และคาดกันว่าในที่สุดนั้น เซอามิก็ได้เสียชีวิตลงเมื่ออายุราว 81 ปีในเกาะซาโดะนั่นเอง
จริงๆ แล้วเรื่องราวความรักระหว่างเพศเดียวกันในญี่ปุ่นนั้นมีมานานหลายร้อยปี แถมยังเป็นเรื่องราวที่ผู้คนในสังคมสมัยนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากต่อการยอมรับดังเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าสังคมญี่ปุ่นนั้นเพิ่งจะเริ่มมาไม่ค่อยยอมรับในเรื่องราวของการรักร่วมเพศในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมานี่เองละ ในยุคเอโดะนั้นถือว่าเป็นยุคที่การมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ชายกับผู้ชายนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดา ซึ่งในสมัยนั้นหากได้ยินคำว่า shudō (衆道), wakashudō (若衆道) หรือ nanshoku (男色) เมื่อไหร่ ก็เป็นอันรู้กันว่าหมายความถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างชาย – ชาย นั่นเอง
ว่ากันว่าในสมัยโบราณ ความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายที่เกิดขึ้นในวัดนั้นถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระภิกษุกับนักบวชซึ่งมักจะเป็นเด็กชายวัยรุ่นที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวจะเป็นไปอย่างเปิดเผยและจริงจัง โดยทั้งคู่จะต้องซื่อสัตย์กับคู่ของตนเอง และความสัมพันธ์นี้จะจบลงก็ต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกจากวัดไป หรือฝ่ายเด็กชายได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัว – – และนอกจากในสังคมของนักบวชแล้ว เราอาจพบความสัมพันธ์ในลักษณะคล้ายกันได้ในสังคมของเหล่าบรรดาซามูไร กล่าวคือเมื่อเหล่าเด็กชายได้เข้ามาเพื่อเรียนรู้เพื่อเป็นซามูไร พวกเค้าจะต้องทำการจับคู่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับซามูไรซึ่งอยู่ในวัยที่โตกว่า ซึ่งความสัมพันธ์นี้จะดำเนินไปในลักษณะคล้ายคู่รัก ซึ่งทั้งคู่มักจะต้องมีสัญญาว่าจะไม่วอกแวกนอกใจจากคู่ของตนเอง โดยนอกจากเด็กหนุ่มผู้เข้ารับการฝึกฝนจะได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ มารยาท รวมถึงหลักการวางตัวในแบบซามูไรที่มีเกียรติแล้ว พวกเค้ายังจะมีซามูไรรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นทั้งคนรักและผู้ฝึกสอนเป็นแบบอย่าง และเมื่อเด็กหนุ่มกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ความสัมพันธ์ในรูปแบบคนรักจะถือว่าจบสิ้นไป แต่จะเปลี่ยนรูปแบบกลายมาเป็นความผูกพันและมิตรภาพพิเศษระหว่างกันต่อไปตราบจนสิ้นลมหายใจแทน
นอกจากในสังคมของเหล่านักบวชและบรรดาซามูไรแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างชาย – ชาย ยังมักจะแพร่หลายอยู่ในวงของเหล่านักแสดงคาบูกิอีกด้วย โดยเหล่านักแสดงคาบูกิฝึกหัดรุ่นเยาว์นั้นมักจะถูกนำไปขายต่อเพื่อรับใช้เหล่าบรรดาพ่อค้า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีสัญญาผูกมัดกันยาวนานถึง 10 ปี ว่ากันว่านักแสดงเด็กเหล่านี้มักจะถูกฝึกหัดให้สามารถให้บริการลูกค้าผู้มั่งคั่งได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ยิ่งหากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ ก็มักจะเป็นที่หมายปองของเหล่าผู้ที่ต้องการอุปถัมภ์ด้วยความเอ็นดูมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่มักจะได้รับบทบาทเป็นผู้หญิงและบทของนักแสดงชายวัยรุ่นหน้าตาดี ก็มักจะเป็นที่ต้องการมากเป็นพิเศษเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้คือบางส่วนในเสี้ยวประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนที่มีความรักในเพศเดียวกันโดยเฉพาะชาย – ชาย ซึ่งยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวให้เราได้ค้นหา ไม่ว่าจะเป็นจากบทกลอน บทละคร หรือภาพวาดโบราณ ที่นำเสนอเรื่องราวของการรักร่วมเพศในลักษณะที่เปิดเผยเป็นที่รู้กันทั่วไป – – ว่ากันว่าการยอมรับในเรื่องของคนที่รักเพศเดียวกันในญี่ปุ่นนั้นเริ่มจางหายไปหลังจากที่เริ่มมีการเปิดประเทศ โดยบรรดาชาวจีนและชาวตะวันตกที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่นอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกที่น่าอับอายและควรได้รับการประณาม ทำให้ความคิดและการยอมรับในเรื่องรักระหว่างเพศเดียวกันของชาวญี่ปุ่นค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป จากการยอมรับเริ่มกลายเป็นความแปลก ความผิดปกติ ไปจนถึงการมองว่าบุคคลที่มีรสนิยมทางเพศแบบนี้เป็นผู้ที่มีความวิปริตทางจิตใจ ผู้คนที่มีรสนิยมรักร่วมเพศกลายเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับการยอมรับในสังคม เกิดการต่อต้าน จนนำไปสู่การที่วัยรุ่นชาย 3 คนได้รุมทำร้ายร่างกายเกย์คนหนึ่งกลางสวนสาธารณะในปี 2000 จนมีการเสียชีวิตเกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหาให้การว่า “การโจมตีเกย์นั้นปลอดภัย เพราะพวกเขาไม่แจ้งตำรวจ”
แม้จะฟังดูน่าเศร้า แต่เราซึ่งแอบลุ้นให้การกีดกันทางเพศหมดไปก็เริ่มเห็นแสงแห่งความหวังเพิ่มขึ้นมา ญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันมีการออกกฎหมายห้ามปฏิเสธการรับพนักงานเข้าทำงานด้วยปัญหาที่เกิดจากอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่มีรสนิยมรักร่วมเพศมีที่ยืนในสังคมเพิ่มมากขึ้น โรงเรียนมัธยมในญี่ปุ่นเริ่มมีการเปิดโอกาสให้บรรดานักเรียนทั้งหลายสามารถเลือกแต่งชุดนักเรียนในเพศที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เหล่าบรรดาเพศทางเลือกเริ่มออกมาเปิดเผยความเป็นตัวตนกันมากขึ้นอย่างน่าดีใจในหลากหลายอาชีพ และแม้อาจจะต้องใช้เวลา แต่เชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีทัศนคติในเรื่องเพศต่างๆ ที่เปิดกว้าง และ LGBTQ+ ในแดนปลาดิบจะได้รับการยอมรับรวมถึงสามารถเปิดเผยตัวตนได้อย่างสบายใจในสักวัน โดยไม่ได้รับการกีดกันหรือดูถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด เพราะท้ายสุดแล้วไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่คนสองคนมีความรักให้แก่กันนั้นย่อมเป็นเรื่องดี – – Happy Pride Month นะคะทุกคน!
เรื่องแนะนำ :
– 10 ภาพยนตร์ที่ควรดูถ้าอยากเรียนรู้ความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง!
– Temari – จากของเล่นลูกคุณหนู สู่ของที่ระลึกแสนสวยของเมือง Matsumoto!
– ผ้าจากต้น ‘วิสทีเรีย’ ที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ผ้าของญี่ปุ่น!
– ถ้ามีฉันอยู่ … ฟูจิต้องเป็นที่หนึ่ง!!
– ‘Yoko Sakura’ – เมื่อสงครามพรากเธอจากไป .. ดอกไม้จะนำเธอกลับมา
อ้างอิงข้อมูลและรูปภาพจาก:
https://tokyorainbowpride.com/english/
https://travel.rakuten.com/contents/usa/en-us/guide/tokyo-rainbow-pride-guide/
https://travel.gaijinpot.com/5-things-you-should-know-about-tokyo-rainbow-pride-2020/
https://www.britannica.com/biography/Ashikaga-Yoshimitsu
https://en.wikipedia.org/wiki/Ashikaga_Yoshimitsu
https://en.wikipedia.org/wiki/Zeami_Motokiyo#cite_note-1
https://www.the-noh.com/en/zeami/
https://www.nippon.com/en/currents/d00253/
https://en.wikipedia.org/wiki/Homosexuality_in_Japan
https://en.wikipedia.org/wiki/Homosexuality_in_Japan#cite_note-13
#ต้อนรับ Pride Month กับตำนาน LGBTQ+ แดนอาทิตย์อุทัย!