10 ลาย ‘Wagara’ กับความสวยที่ไม่ใช่แค่ลวดลาย แต่มีความหมายดีๆ ซ่อนอยู่
หลายคนอาจเคยผ่านตากับลวดลายกราฟิกน่ารักๆ ที่แค่เห็นก็รู้แล้วว่า นี่ละ…เจแปนิสสไตล์!! ก็ญี่ปุ่นเนี่ยเค้าถนัดนักในเรื่องของการอนุรักษ์ของดั้งเดิมเอาไว้ แล้วจับไปผสมผสานกับวิถีสมัยใหม่ได้แบบสุดจะลงตัว และไอ้เจ้าพวกลายกราฟิกสไตล์ญี่ปุ่นแบบนี้มีชื่อเรียกเฉพาะตัวว่าลวดลายแบบ Wagara ซึ่งเราจะได้เห็นว่ามันมักไปโผล่อยู่ในสิ่งรอบๆ ตัวทุกที่ ไม่ว่าจะในเสื้อผ้า ของแต่งบ้าน ของใช้ประจำวัน ผ้าห่อของ เครื่องเขียน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่เริ่ดคือลวดลายวาการะนั้นนอกจากจะน่ารักและบ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างดีแล้ว แต่ละลายยังมีความหมายที่แอบแฝงอยู่ด้วยนะ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักความหมายของวาการะแต่ละลายกัน เผื่อคุณไปญี่ปุ่นแล้วอยากได้ของฝากความหมายดีๆ กลับมา รับรองว่าจะได้ของที่คนซื้อถูกใจ คนรับไปก็แฮปปี้แน่นอน!
ลวดลายต่างๆ ของ ‘Wagara’ นั้นมักจะได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติรอบๆ ตัว กล่าวกันว่าวาการะนั้นเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในสมัยเฮอัน (ค.ศ. 794 – 1185) แต่บางลวดลายอาจถือกำเนิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วย โดยวาการะลายต่างๆ จะพบได้ทั้งจากการทอและย้อมผ้า ซึ่งลวดลายวาการะที่คุ้นตาทุกคนนั้นอาจแบ่งได้เป็น 10 รูปแบบหลักๆ ดังต่อไปนี้
1. Yagasuri
เชื่อว่าบรรดาคนรักความเป็นญี่ปุ่นทุกคนต้องคุ้นตากับลายนี้เป็นอย่างดี ว่ากันว่านี่คือลวดลายที่จำลองมาจากขนนกซึ่งเป็นส่วนหางของลูกธนูในสมัยโบราณ และเพราะในความเป็นจริงแล้ว ลูกธนูเมื่อถูกยิงออกไปจะไม่มีทางย้อนคืนกลับมา ลวดลายนี้จึงมักนิยมที่จะนำไปใช้เป็นชุดสำหรับพิธีจบการศึกษาของนักเรียนหรือนักศึกษาที่เป็นผู้หญิงในช่วงปี ค.ศ.1868 – 1926 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนการเริ่มต้นของการมุ่งตรงไปยังเป้าหมายหรือความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า นอกจากนั้นชาวญี่ปุ่นยังนำลวดลายนี้ไปใช้ในการทำกิโมโนชุดแต่งงานของเจ้าสาว เพื่อแทนคำอวยพรให้เจ้าสาวคนนั้นมีชีวิตแต่งงานที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องย้อนกลับไปอยู่กับครอบครัวตัวเองอีกแล้วนั่นเอง
2. Seigaiha
นี่คืออีกหนึ่งลวดลายแสนคุ้นตาซึ่งมีที่มาจากคลื่นในมหาสมุทร นอกจากจะเป็นลวดลายที่สื่อถึงประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีคลื่นล้อมรอบในทุกด้านแล้ว รูปคลื่นยังเป็นลวดลายที่สื่อถึงความแข็งแกร่งของมหาสมุทร ความสุขสงบ พลังความแข็งแกร่ง และยังสื่อถึงความต่อเนื่องสม่ำเสมออีกด้วย ทำให้ลวดลายนี้ถูกนำไปใช้ในบรรดาข้าวของซึ่งมักนิยมให้เป็นของขวัญในงานแต่งงาน เพื่อแทนคำอธิษฐานหรือคำอวยพรให้คู่แต่งงานมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องไม่มีวันขาดสายตลอดไป
3. Karakusa
เชื่อกันว่าลวดลายคาราคุสะน่าจะเป็นหนึ่งลวดลายที่เก่าแก่ที่สุดของ Wagara โดยเชื่อกันว่าลวดลายนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอียิปต์ และถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นผ่านทางชาวจีนซึ่งเดินทางในเส้นทางสายไหมตั้งแต่สมัยนารา (ค.ศ. 710 – 794) ชื่อลาย Karakusa นั้นหมายถึงพืชที่เกี่ยวพันกันคดเคี้ยวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลวดลายนี้จึงมักถูกนำไปใช้ในความหมายของการอวยพรให้เจริญรุ่งเรืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การเจริญเติบโตในทุกด้าน รวมถึงการอวยพรให้มีอายุที่ยืนยาวได้เช่นกัน
4. Shippo
กล่าวกันว่านี่คือลวดลายยอดนิยมในการทำตราประจำตระกูลของยุคนารา (ค.ศ.710 – 794) และยังเป็นหนึ่งในลายยอดนิยมซึ่งมักจะอยู่บนข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากเซรามิกมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน คำว่า Shippo ในทางพุทธศาสนาของชาวญี่ปุ่นนั้น แปลว่า ‘สมบัติทั้งเจ็ดประการ’ อันได้แก่ ทอง เงิน ลาพิสลาซูลี คริสตัล โมราหรืออาเกต ไข่มุกแดง และคาร์เนเลียน ซึ่งมีการนำมาเปรียบกับพลังแห่งศาสนาเจ็ดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธา ความอุตสาหะ ความละอายใจ การหลีกเลี่ยงความผิด สติ สมาธิ และปัญญา ด้วยรูปแบบลวดลายที่ดูคล้ายกับวงกลมที่คล้องกันไปมาและเชื่อมโยงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ลายนี้จึงมักถูกเปรียบเทียบกับความสุขและความปรองดองของความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการมีความสัมพันธ์อันดี มีค่าดุจดั่งสมบัติทั้งเจ็ดประการที่กล่าวถึงนั่นเอง
5. Kikko
อีกหนึ่งลวดลายแห่งความมงคลที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่า นี่คือลวดลายที่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรูปหกเหลี่ยมของกระดองเต่า ซึ่งเป็นตัวแทนของการมีอายุที่ยืนยาวจากคำกล่าวโบราณที่ว่า “นกกระเรียนมีอายุ 1,000 ปี เต่ามีอายุ 10,000 ปี” ลวดลายนี้อาจมีรายละเอียดความสวยงามที่แตกต่างกันไปตามสไตล์การออกแบบ หากคุณต้องการมอบของขวัญและคำอวยพรให้ใครซักคนมีอายุที่ยืนยาว เราว่าอันนี้แหละ ใช่เลย!
6. Ichimatsu
คำว่าอิจิมัตสึในภาษาญี่ปุ่นนั้น แปลถึงลวดลายอันเฉพาะตัวของตารางหมากรุกซึ่งมีการใช้สีสองสีที่แตกต่างกันสลับไปมา ชื่อเรียกนี้ยังมีที่มาจากนักแสดงคาบูกิในสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603-1868) ซาโนกาวะ อิจิมัตสึ ที่มักจะสวมชุดลายตารางหมากรุกขึ้นแสดงจนกลายเป็นเอกลักษณ์ แม้จะดูธรรมดาๆ แต่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าลวดลายสี่เหลี่ยมสองสีที่สลับกันไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองที่ต่อเนื่องกันไปตลอดกาล นี่จึงเป็นอีกหนึ่งลวดลายมงคลที่ชาวอาทิตย์อุทัยมักใช้กันในการออกแบบข้าวของเครื่องใช้และสัญลักษณ์ต่างๆ จนถึงปัจจุบัน ที่เห็นชัดๆ ล่าสุดก็คือการออกแบบโลโก้ในงานมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่โตเกียวนั่นไง!
7. Asanoha
นี่คืออีกหนึ่งลวดลายยอดนิยมของ Wagara ซึ่งลอกเลียนแบบมาจากใบกัญชา ซึ่งถูกนำมาใช้ในการผลิตเส้นด้ายและเสื้อผ้าก่อนจะมีการนำฝ้ายเข้ามาในญี่ปุ่น และด้วยคุณสมบัติที่แข็งแกร่งทนทาน สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องการการดูแลมากมายนักในทุกสภาวะของกัญชา ชาวญี่ปุ่นจึงนิยมจะนำลวดลายนี้มาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าของเด็กๆ โดยเฉพาะชุดกิโมโน เพื่อเป็นการอวยพรให้เจ้าตัวเล็กเติบโตแข็งแรงอย่างรวดเร็วได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
8. Uroko
ใครจะไปคิดว่าลวดลายสามเหลี่ยมสลับสีที่เราเห็นอยู่นี้ ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเกล็ดงูและเกล็ดปลา รวมไปถึงเกล็ดบนตัวของพญามังกร ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเกล็ดนั้นมีหน้าที่ปกป้องคุ้มภัยงูและปลาจากบรรดาสัตว์นักล่าทั้งหลาย เราจึงอาจเห็นลวดลายนี้ไปปรากฏอยู่บนยันต์ในสุสานโบราณ บนถุงเครื่องราง หรือแม้กระทั่งบนชุดของเหล่าซามูไร เนื่องจากชาวอาทิตย์อุทัยเชื่อกันว่า นี่คือลวดลายที่จะช่วยปกป้องและปัดเป่าโชคร้าย ภูตผีปีศาจ เหล่าภยันตราย และเคราะห์ร้ายต่างๆ ไม่ให้เข้ามาใกล้ ใครเป็นสายมูต้องมีเสื้อผ้าหรือข้าวของลายนี้ติดตัวเอาไว้เลย!
9. Kanoko
นี่คือวาการะที่ได้แรงบันดาลใจมาจากลวดลายบนตัวกวาง ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ากวางนี่ละทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารจากเทพเจ้า ในสมัยโบราณนั้น การจะทำวาการะลวดลายนี้จะต้องใช้ช่างที่มีฝีมือในการมัดย้อมจำนวนมาก เพื่อทำการย้อมผ้าด้วยเทคนิคโบราณที่เรียกกันว่า shibori โดยเหล่าช่างต้องผูกปมเล็กๆ บนผืนผ้า ก่อนจะนำไปย้อมเพื่อให้เกิดเป็นจุดสีด้วยมือทีละจุดๆ ทำให้ผ้าลายคาโนโกะแต่ละผืนนั้นมีราคาค่อนข้างสูง และมักจะนิยมใช้กันในหมู่คหบดี ชนชั้นสูง และเหล่าขุนนางที่ร่ำรวยเท่านั้น ลวดลายที่เห็นอยู่นี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย และความอุดมสมบูรณ์ไปโดยปริยาย เรียกว่าถ้าเห็นใครใช้ก็ฟันธงได้เลยว่าไม่ใช่คนจนอย่างแน่นอน!
10. Tatewaku
ปิดท้ายกันด้วยลวดลายที่แลดูเรียบง่ายสุดมินิมัล แต่กลับเป็นอีกลายที่ขึ้นชื่อว่าทำได้ยากเย็นนักในสมัยโบราณ ลายทาเทวากุนั้นเป็นอีกหนึ่งลวดลายโบราณดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น โดยจะประกอบไปด้วยเส้นโค้งที่หยักไปมาเข้าหากัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนไอน้ำหรือก้อนเมฆที่กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้จะดูไม่มีอะไร แต่การทอผ้าให้ได้ลายนี้ในสมัยก่อนนั้นต้องใช้เทคนิคและช่างที่มีฝีมือค่อนข้างสูงในการทำ ทำให้ผ้าลายนี้กลายเป็นอีกหนึ่งลายที่มีราคาแพงมาก และผู้ที่จะสวมใส่จึงมักจะเป็นเหล่าบรรดาชนชั้นสูงซะเป็นส่วนใหญ่ เชื่อกันว่าไอน้ำหรือก้อนเมฆที่อยู่บนผ้านั้นหมายถึงโชคลาภที่กำลังจะสูงหรือเพิ่มพูนขึ้น ลวดลายทาเทวาคุจึงกลายเป็นอีกหนึ่งลวดลายมงคลที่เชื่อกันว่าจะส่งเสริมให้ผู้ใส่มีโชคดีมากขึ้นนั่นเอง
และทั้งหมดนี้คือ 10 ลวดลายโบราณยอดนิยม ซึ่งชาวญี่ปุ่นนั้นใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เชื่อว่าหลายคนที่มีโอกาสได้ไปเดินเล่นช้อปปิ้งในญี่ปุ่นต้องมีโอกาสเห็นลายเหล่านี้ผ่านตากันมาบ้างแล้วอย่างแน่นอน และหากคุณกำลังมองหาของใช้ของฝากจากญี่ปุ่นไปฝากใครซักคนอยู่พอดี ลองมองหาสิ่งของที่มีลวดลายเหล่านี้ดูนะ รับรองว่าถ้าผู้รับได้รู้ความหมาย ก็ยิ่งน่าจะแฮปปี้กว่าการได้ของฝากทั่วไปเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยเชียว!
เรื่องแนะนำ :
– ส่องที่มาเทศกาล ‘Hanabi’ ดอกไม้ไฟแห่งปีที่คนญี่ปุ่นนับล้านรอคอย!
– ก่อนจะเป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ เดือนญี่ปุ่นเคยมีชื่อเรียกมาก่อนนะ!
– ต้อนรับ Pride Month กับตำนาน LGBTQ+ แดนอาทิตย์อุทัย!
– 10 ภาพยนตร์ที่ควรดูถ้าอยากเรียนรู้ความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง!
– Temari – จากของเล่นลูกคุณหนู สู่ของที่ระลึกแสนสวยของเมือง Matsumoto!
อ้างอิงข้อมูลและรูปภาพจาก:
https://livinginjapan.net/2022/07/00681/
https://en.thebecos.com/blogs/column/
https://www.tokyoweekender.com/art_and_culture/
#10 ลาย ‘Wagara’ กับความสวยที่ไม่ใช่แค่ลวดลาย แต่มีความหมายดีๆ ซ่อนอยู่