วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 3] เรื่องของ “จินเก็มปิน”
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ก็มานำเสนออีกตอนหนึ่งแล้วนะครับถึงเรื่องราวใน “ประวัติศาสตร์ของยูยิตสู” ซึ่งได้เคยกล่าวถึงเรื่องของการมาถึงญี่ปุ่นของ “จินเก็มปิน” คนจีนจากแผ่นดินใหญ่ที่นำเอาวิชาหมัดมวยจากเมืองจีนเข้ามา และก่อให้เกิดการผนวกเอาวิชาสายเตะต่อย (striking) เข้ามาในวิชายูยิตสูโบราณของญี่ปุ่นด้วย เรื่องราวของเขาจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเชิญท่านผู้อ่านมาดูด้วยกันเลย ครับผม
จินเก็มปิน (陳元贇 อ่านอย่างจีนกลางว่า เฉินหยวนยุน น่าสังเกตว่า เป็นแซ่ “ตั้ง” ตามสำเนียงแต้จิ๋ว แซ่ยอดฮิตของคนไทยเชื้อจีนเลย) เกิดที่เมืองหยูหัง จังหวัดหางโจว มณฑลเจ้อเจียง เกิดปี พ.ศ. 2130 เทียบกับไทยก็อยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
จินเก็มปิน (ที่มา chenyuanyun.jp)
จินเก็มปินเข้ามาญี่ปุ่นได้อย่างไร?
เขามาตอนอายุราว 30 ในฐานะ “ทูต” ที่กลายเป็น “คนพลัดถิ่น” ครับ คือยุคนั้นเป็นยุคใกล้สิ้นราชวงศ์หมิงเต็มที หลังจากที่ชาวฮั่นเสียที่มั่นทางเหนือให้พวกแมนจู ก็ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นทางใต้ที่เรียกว่า “หนานหมิง” (หมิงใต้) จินเก็มปินถูกทางราชวงศ์หมิงใต้นี่แหละ ส่งมาเป็นทูตเข้ามาหารัฐบาลโชกุน เพื่อขอทหารไปช่วยสู้กับแมนจู แต่แน่นอน รัฐบาลโชกุนไม่เอาด้วย จินเก็มปินไม่รู้จะทำไง จะกลับไปมือเปล่าก็ไม่ได้ เลยต้องอยู่ที่ญี่ปุ่นไปเลย โดยอาศัยวัดโคคุโชจิ (国昌寺) ที่เมืองเอโดะ เป็นที่อยู่หลับนอน แล้วโดนโรนินท้าตีท้าต่อยเลยสั่งสอนพวกนั้นไป แล้วดันมีซามูไรสามคนมาเห็นเข้าเกิดประทับใจในวิชาเลยขอเป็นศิษย์ เรียนได้วิชาของจินเก็มปินไปแล้วก็เอามาประสมกับวิชาที่ตัวเองมีติดตัวแต่เดิม ออกไปตั้งสำนักกันของใครของมันดังนี้
ฟุคุโนะ ชิจิโรเอมอน มาซาคัตสึ (福野七郎右衛門正勝) ตั้งสำนักฟุคุโนะ ซึ่งตอนหลังเรียกชื่อเป็น เรียวอิชินโตริว (良移心当流) ตัวฟุคุโนะเองนั้นเดิมที เรียนวิชาดาบสำนักยางิวชินคาเงะริว และเก่งในทางซูโม่ด้วย ก่อนที่จะได้เรียนวิชากับจินเก็มปิน สำนักเรียวอิชินเรียวได้กลายเป็นสำนักยูยิตสูโบราณสำนักใหญ่อันหนึ่ง ซึ่งก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในยุคเมจิ เคยมีเรื่องราวการไฝว้กันในปี พ.ศ. 2429 ระหว่าง นาคามูระ ฮันสุเกะ (中村半助) ยอดฝีมือแห่งสำนักเรียวอิชินริว ปะทะ “อสูรโยโกยามะ” หนึ่งในสี่จตุรเทพโคโดคัน ว่ากันว่าไฝว้กัน 55 นาที ไม่มีใครชนะเด็ดขาด (แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไปเคลมกันเองว่าตัวเองชนะ เอ้อ) หลังจากนั้น ปี พ.ศ. 2467 ทาเคดะ ทัตสึ (竹田辰) ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปสอนวิชาที่อังกฤษ กระทั่งมีฝรั่งนาม James Shortt ได้รับ “เม็งเคียวไคเด็น” คือใบประกาศจบการศึกษามีคุณวุฒิเป็นครูถ่ายทอดวิชาได้ ต่อมา Peter King ก็เรียนยูยิตสูสำนักเรียวอิชินริวกับ James Shortt จนได้เม็งเคียวไคเด็น สืบทอดวิชาของสำนักต่อมา
อะไรเนี่ย…กลายเป็นว่าวิชายูยิตสูโบราณของญี่ปุ่น มีฝรั่งเป็นผู้สืบทอด!! คุณพระคุณเจ้า หลังจากที่ “โคโดคันยูโด” ผงาดฟ้าเมืองญี่ปุ่น สำนักยูยิตสูโบราณ ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล ออกไปหาผู้สืบทอดเป็นฝรั่ง ซะงั้น OH MY GOD!!
มิอุระ โยจิเอมอน โยชิโทคิ (三浦与次右衛門義辰) ตั้งสำนัก มิอุระริว (三浦流)
อิโซไก จิโร่ซาเอมอน (磯貝次郎左衛門) ตั้งสำนัก อิโซไกริว
คำถามคือ จินเก็มปิน สอนอะไรบ้าง? หลายแหล่งบอกวา สอนวิชาเตะต่อย ซึ่งผมก็เห็นเรียกกันว่า เค็มโป (拳法) บ้าง โทเค็น (唐拳) บ้าง จริงๆ มันคืออะไร?
เขาว่ามันเป็น “มวยเส้นหลิน” ครับ
สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการที่ว่า มวยเส้าหลิน ถูกเอามาประสมกับวิชาที่มีมาแต่เดิมของญี่ปุ่นนั้น มันไม่ใช่แค่การเอามาประสม แต่มันเป็นการทำให้ “ยูยิตสู” กลายเป็น “วิชาต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า” อย่างเต็มระบบ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า พอบ้านเมืองไม่มีสงคราม การเรียนวิชาอาวุธมันก็ นะ เรียนไปมีที่ใช้น้อยลง แต่วิชามือเปล่าไว้ป้องกันตัวแบบตีกันข้างถนนนั้น มีที่ใช้เยอะขึ้น วิชายูยิตสูจึงเฟื่องฟูขึ้นในต้นยุคเอโดะ นี่แหละครับ
สิ่งที่น่าสนใจคือ “วิชาเตะต่อย” ที่ตอนหลังมาเรียกให้เป็นญี่ปุ่นว่า อาเตมิ-วาซะ (当て身技) นี่แหละ ที่ทิ้งร่องรอยไว้อยู่ในวิชายูยิตสูสำนักคิโตริว ซึ่งก็สืบมาจนถึงโคโคคันยูโดเลยทีเดียว (ถึงจะกลายเป็นวิชาที่เรียนไปพอรู้ว่ามีเท่านั้น)
ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ ว่ากันว่า จินเก็มปิน ไม่ได้สอนแต่วิชาหมัดมวย บางแหล่งว่า สอนวิชาคว้าจับให้ด้วย (จริงดิ) และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นอีก คือนักวิชาการบางคนถึงกับสงสัยด้วยซ้ำว่า จินเก็มปินสอนวิชาให้ซามูไรทั้งสามจริงหรือ? หรือแค่ “เอาเรื่องราวของวิชาต่อสู้ในเมืองจีน (วิชาคว้าจับ)” มาบอกเล่าให้ซามูไรทั้งสามฟังกันแน่? โดยกล่าวว่า เรื่องราวที่ว่าจินเก็มปินสอนวิชาต่อสู้น่ะ เป็นเรื่องที่บันทึกเอกสารยุคหลัง “เมคขึ้นมา” ทั้งนั้น (ในเอกสารร่วมสมัย ไม่มีอันไหนที่พูดถึงจินเก็มปินกับวิชาต่อสู้เลย) พวกสำนักวิชาทั้งหลายที่ได้วิชามวยจีนจากคนจีน อาจคิดเอาชื่อ “จินเก็มปิน” มาอ้างใช้เอาก็ได้เพราะเห็นว่าจินเก็มปินเป็นปราชญ์ที่มีชื่อเสียง (เท่านั้นเอง) อ้าว “อ้างชื่อคนดัง” แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ?
ในแหล่งข้อมูลของญี่ปุ่น กล่าวว่า จินเก็มปินอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นนั้น ทำงานรับใช้แคว้นโอวาริ ทุกวันนี้ สุสานของจินเก็มปิน ก็อยู่ที่ สวนสันติภาพที่เมืองนาโกยะ นี่แหละครับ (ส่วนเอโดะนี่คือไปๆ มาๆ ตามกิจธุระ)
เกร็ดตลกๆ ที่เกี่ยวกับเมืองนาโกยะอย่างหนึ่งคือ ที่นั่นมีขนมชื่อ “เก็มปินยากิ” ด้วยครับ เป็นขนมถูกๆ หลอกเด็ก เอาแป้งสาลี แป้งถั่วเหลือง น้ำตาล มานวดๆ ทำเป็นรูปเลขแปด 8 โรยงาขี้ม่อน เอาไปอบ ขนมนี้ไม่รู้นึกยังไงเอาชื่อจินเก็มปินมาตั้ง แต่สมัยนี้หายไปแล้ว (คนไม่นิยมกินแล้ว) ชื่อขนมนี้ซ้ำซ้อนสับสนกับคำว่า “เก็มปินยากิ” ที่หมายถึงเครื่องปั้นดินเผาที่จินเก็มปินปั้นขึ้น
งงไหมล่ะครับ?
จินเก็มปิน ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2214 สิริอายุได้ 84 ปี
เป็นไงครับ “ประวัติศาสตร์” น่ะ มันคือเรื่องเล่า ที่เขาว่าจริง บางคนก็ยึดถือว่ามันต้องจริง บางคนก็หักล้างว่า ไม่จริ๊งไม่จริง สุดแต่ใครจะรับรู้และเชื่อกันไปทางไหน อย่าเพิ่งมึนซะก่อนนะครับท่านผู้อ่านที่รัก เรายังมีต่อกันอีกหลายตอนครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 2] สำนักทาเคโนะอุจิ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 1] เกะฮายะ ปะทะ สุคุเนะ
– ว่าด้วยคำว่า “อดทน” ในภาษาญี่ปุ่น กามัน (我慢) กับ นินไต (忍耐)
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (8) การฟื้นคืนชีพของวิชาสายคว้าจับ (grappling) ในสายตาของสังคม
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (7) ความตกต่ำของวิชาสายคว้าจับ (grappling) ในแง่การให้ราคาของสังคม
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 3] เรื่องของ “จินเก็มปิน”