เรื่องหมาๆ ในแดนอาทิตย์อุทัย ไม่ได้มีแค่ฮาจิโกะเท่านั้นนะ!
เมื่อพูดถึงเรื่องราวของสุนัขในญี่ปุ่นที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันดี เชื่อว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องราวอันแสนจะน่าประทับใจของเจ้า Hachiko สุนัขพันธุ์อาคิตะที่สร้างตำนานในเรื่องความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้าของจนตัวตาย จนฮอลลีวูดได้นำเอาเรื่องราวของฮาจิโกะไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เรียกน้ำตาจากคนทั้งโลกมาแล้ว … แต่รู้มั้ยว่าเรื่องราวความอเมซิ่งของสุนัขในแดนอาทิตย์อุทัยที่ถูกนำไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์นั้นยังมีอีกนะ และนี่ละ…คือเรื่องราวที่เราจะเอามาเล่าสู่กันฟังในวันนี้
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อคราวที่สถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งชาติของญี่ปุ่น (The Japan National Institute of Polar Research) ตั้งคณะเพื่อมุ่งหน้าไปสำรวจแอนตาร์กติกบริเวณขั้วโลกใต้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1957 โดยในคณะเดินทางครั้งนี้ประกอบไปด้วยทีมนักวิจัยจำนวน 11 คน และสุนัขสายพันธุ์ Sakhalin Husky ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นหน่วยลากเลื่อนอีก 19 ตัว แม้จะเสียสุนัขไป 3 ตัว ในระหว่างการสำรวจ แต่ทีมวิจัยกลับได้สุนัขเพิ่มมาอีก 8 ตัว เนื่องจากเจ้า Shiroko ซึ่งเป็นหนึ่งในสุนัขที่ร่วมเดินทางไปนั้นได้ตั้งท้องและคลอดลูกออกมา ทำให้ชาวคณะมีสุนัขในฐานวิจัยรวมกันทั้งหมด 24 ตัวในท้ายที่สุด
การสำรวจเดินหน้าไปหนึ่งปีเต็มจนถึงปี ค.ศ.1958 จึงมีการส่งทีมวิจัยทีมที่สองเข้าไปยังฐานเพื่อสลับสับเปลี่ยนให้ทีมงานชุดแรกเดินทางกลับมาพัก แต่ระหว่างนั้นกลับเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันเนื่องจากเรือที่ขนส่งชาวคณะวิจัยผลัดที่สองนั้นกลับติดแหง็กอยู่ในผืนน้ำแข็งจนเดินหน้าต่อไปไม่ได้ และด้วยทรัพยากรที่ร่อยหรอบวกกับสภาพอากาศอันโหดร้ายระดับ -40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ทางสถาบันต้องทำการอพยพคณะวิจัยชุดแรกกลับมาอย่างเร่งด่วนด้วยการใช้เฮลิคอปเตอร์ซึ่งสามารถขนส่งได้อย่างจำกัด ทำให้ชาวคณะตัดสินใจที่จะนำสุนัขบางส่วนกลับไปเท่าที่จะทำได้ และจำเป็นต้องทิ้งสุนัขอีก 15 ตัวเอาไว้ที่ฐาน ซึ่งทางคณะวิจัยได้ทำการล่ามโซ่สุนัขทุกตัวเอาไว้ และมีการทิ้งอาหารเอาไว้เพื่อให้พวกมันใช้ชีวิตได้ในระยะสั้นๆ เนื่องจากทุกคนคิดว่าทีมสำรวจชุดที่สองนั้นน่าจะมาถึงฐานได้ในเวลาอีกไม่กี่วันหากสภาพอากาศเริ่มดีขึ้น และจะได้ทำหน้าที่ดูแลเจ้าเพื่อนยากทั้งหลายต่อไป แต่ทีมงานไม่เคยไปถึงสถานีวิจัยนั้นเลยจนกระทั่งอีกหนึ่งปีต่อมา …
หลังการอพยพอย่างเร่งด่วน สภาพอากาศยิ่งทวีความเลวร้ายจนทำให้ทีมงานชุดที่สองไม่สามารถเดินทางไปยังฐานวิจัยได้ตามที่คาดไว้ ทีมงานทุกคนล้วนเสียใจที่ต้องทิ้งเพื่อนยากที่ร่วมงานกับพวกเขามาตลอดทั้ง 15 ชีวิตไว้เบื้องหลัง และไม่มีใครคาดหวังว่าพวกมันจะรอดชีวิตได้เนื่องจากถูกล่ามโซ่เอาไว้แถมยังไม่มีอาหาร – – ดังนั้น เมื่อทีมงานชุดที่สองเดินทางไปยังสถานีวิจัยในอีกหนึ่งปีต่อมา พวกเขาจึงประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อพบว่ามีสุนัขสองตัวยืนเห่าและกระดิกหางรออย่างดีใจเมื่อพวกมันเห็นเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือสถานี!!! – – ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะพวกมันคือ Taro และ Jiro ซึ่งเป็นสุนัข 2 ใน 15 ตัวที่ถูกล่ามโซ่ทิ้งเอาไว้รอความตายนั่นเอง!
ทีมงานวิจัยพบซากสุนัข 7 ตัวที่เสียชีวิตโดยยังคงมีโซ่ล่ามไว้ ส่วนสุนัขอีก 8 ตัวที่เหลือนั้นสามารถหาทางหนีออกจากการถูกล่ามไปได้ แต่ 6 ใน 8 ตัว หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาจึงได้พบแค่ทาโร่และจิโร่เพียงเท่านั้น ซึ่งถือว่าทั้งคู่คือความมหัศจรรย์ของการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดได้อย่างน่าประหลาดใจ เชื่อกันว่าพวกมันเรียนรู้ที่จะช่วยกันล่าแมวน้ำหรือเพนกวินเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต และยังคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ กับสถานีวิจัย จึงทำให้พวกมันไม่หลงทางสะเปะสะปะไปไกลจนกลับมาไม่ได้ ที่สำคัญและน่าทึ่งอีกอย่างก็คือแม้จะต้องหิวโหยขนาดไหน แต่พวกมันไม่ได้แตะต้องซากของสุนัขที่เสียชีวิตคาโซ่ล่ามทั้ง 7 ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว! และการที่สามารถอยู่รอดได้ในสภาวะอันโหดร้ายถึงหนึ่งปี จึงทำให้เรื่องราวของทาโร่และจิโร่กลายเป็นข่าวที่ดังไปทั่วโลกในช่วงเวลานั้น
ว่ากันว่าสุนัขสายพันธ์ซาคาลิน ฮัสกี้ นั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศรัสเซีย โดยแรกเริ่มนั้นพวกมันถูกเลี้ยงเพื่อใช้งานโดยชาว Nivkh ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะ Sakhalin ซึ่งอยู่ใกล้กันกับเขตแดนแผ่นดินใหญ่ของประเทศรัสเซีย หน้าที่หลักของพวกมันคือการลากเลื่อนเพื่อขนส่งข้าวของต่างๆ ระหว่างเขตเกาะกับแผ่นดินใหญ่ในช่วงฤดูหนาวที่การเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ ด้วยความที่ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะเป็นหลัก พวกมันจึงน่ามีความสามารถพิเศษในการล่าปลาหรือแมวน้ำซึ่งมีอยู่มากมายเป็นอาหาร และเป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวมา
ในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสหภาพโซเวียต ชาว Nivkh ถูกกวาดต้อนให้ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมาเป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม พวกเขาถูกจำกัดพื้นที่ในการอยู่อาศัยและหาอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นทำให้สุนัขสายพันธุ์ท้องถิ่นอย่างซาคาลิน ฮัสกี้ แทบจะต้องสูญพันธุ์ไป เนื่องจากทางการโซเวียตคิดว่าการต้องเจียดงบประมาณไปเลี้ยงสุนัขเหล่านี้เพื่อใช้งานนั้นเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ จนกระทั่งเกิดสงครามระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซียในช่วงราวปี ค.ศ.1904 – 1905 ซึ่งทำให้เกิดการแบ่งพื้นที่การปกครองระหว่างสองประเทศกันใหม่ ชาว Nivkh จำนวนมากที่อาศัยอยู่บนเกาะซาคาลินทางตอนใต้จึงต้องมีการย้ายถิ่นฐานและเข้ามาอาศัยในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ชาคาลิน ฮัสกี้บางส่วนถูกนำเข้ามาในแดนอาทิตย์อุทัย และได้ย้ายสำมะโนครัวมาชุบตัวกลายเป็นหนึ่งในสุนัขสายพันธ์ุท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อดูจากประวัติของสายพันธุ์แล้วจึงเริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมเจ้าทาโร่และจิโร่จึงยังคงสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จากสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของแอนตาร์กติกถึงหนึ่งปี หลังจากทีมวิจัยทีมที่สองเข้าไปพบทั้งคู่ เจ้าทาโร่นั้นถูกนำตัวกลับมายังซัปโปโร และได้ใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยฮอกไกโดจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายในปี ค.ศ.1970 ซึ่งปัจจุบันร่างของทาโร่ยังคงมีการจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย – – ฝ่ายจิโร่นั้นยังคงได้สานต่อภารกิจเป็นสุนัขลากเลื่อนอยู่คู่กับทีมวิจัยแอนตาร์กติกต่อมาจนกระทั่งมันเสียชีวิตลงในปี 1960 หลังจากนั้น ร่างของมันได้ถูกนำกลับมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และธรรมชาติของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในสวนสาธารณะอุเอโนะกลางกรุงโตเกียว โดยถูกตั้งอยู่เคียงข้างกับร่างของเจ้าฮาจิโกะผู้โด่งดัง
ในช่วงราวปี ค.ศ.1959 สมาคมป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ของญี่ปุ่นได้ทำการสร้างรูปจำลองของสุนัข 15 ตัวซึ่งอยู่ในภารกิจสำรวจแอนตาร์กติกครั้งนี้ขึ้นมา โดยใช้ศิลปินที่ชื่อว่า Ando Takeshi ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่สร้างรูปปั้นฮาจิโกะที่เราทุกคนล้วนคุ้นตาบริเวณหน้าสถานีรถไฟชิบุย่า ซึ่งในยุคแรกนั้น รูปปั้นของสุนัขฮีโร่ทั้ง 15 ตัว ได้ถูกจัดแสดงอยู่บริเวณหน้าทางเข้าโตเกียว ทาวเวอร์ ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายและส่งต่อไปจัดแสดงในพื้นที่ของ NIPR (National Institute of Polar Research) ตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 จนถึงปัจจุบัน และยังได้มีการจัดทำรูปปั้นเป็นอนุสาวรีย์เล็กๆ สำหรับทาโร่และจิโร่ขึ้นในบริเวณสวนสาธารณะใกล้กับท่าเรือนาโกย่า โดยไม่ไกลกันนั้นคือเรือตัดน้ำแข็งที่มีชื่อว่า Fuji ซึ่งเป็นเรือที่เคยถูกใช้ในการสำรวจและวิจัยแอนตาร์กติกในช่วงปี ค.ศ.1965 – 1985
เรื่องราวของบรรดาสุนัขฮีโร่ในภารกิจนี้ ได้ถูกนำไปเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Antarctica ในปี ค.ศ.1983, Eight Below ในปี ค.ศ.2006 ซึ่งมีพอล วอล์กเกอร์นำแสดง รวมถึงละครโทรทัศน์เรื่อง Nankyoku Tairiku ของสถานี TBS ซึ่งออกฉายในปี ค.ศ.2011 ที่มี Takuya Kimura ร่วมแสดงด้วย ใครสนใจลองไปหาดูเพิ่มเติมกันได้จ้า – – และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าประทับใจของบรรดาฮีโร่สี่ขาซึ่งรับหน้าที่สำคัญในการเป็นผู้ช่วยตามล่าหาความรู้เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย แม้อาจจะแลดูเศร้าหมองและโหดร้ายในบางแง่มุมไปบ้าง แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ว่า ไม่ว่าจะที่ไหนหรือช่วงเวลาใด สุนัขก็ยังคงเป็นเพื่อนคู่ใจที่จะทำหน้าที่ติดตามเราไปอย่างซื่อสัตย์และภักดีเสมอแบบไม่มีเงื่อนไข ใครมีโอกาสอย่าลืมแวะไปทักทายทั้งทาโร่และจิโร่ รวมถึงเพื่อนๆ ทั้ง 15 ตัวของพวกมันด้วยน้า
เรื่องแนะนำ :
– หนังสือการ์ตูนยุคแรกเริ่มของญี่ปุ่นเป็นยังไง ไปดูกัน!
– 10 ลาย ‘Wagara’ กับความสวยที่ไม่ใช่แค่ลวดลาย แต่มีความหมายดีๆ ซ่อนอยู่
– ส่องที่มาเทศกาล ‘Hanabi’ ดอกไม้ไฟแห่งปีที่คนญี่ปุ่นนับล้านรอคอย!
– ก่อนจะเป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ เดือนญี่ปุ่นเคยมีชื่อเรียกมาก่อนนะ!
– ต้อนรับ Pride Month กับตำนาน LGBTQ+ แดนอาทิตย์อุทัย!
อ้างอิงข้อมูลและรูปภาพจาก:
https://en.japantravel.com/blog/
https://www.japanbyweb.com/taro-and-jiro/
https://www.nippon.com/en/japan-topics/
https://en.wikipedia.org/wiki/Taro_and_Jiro#
https://www.linkedin.com/pulse/eight-below-real-story-gunzltd/
https://www.japanhouselondon.uk/read-and-watch/dogs-and-japanese-cultures/#
https://play.google.com/store/movies/details/
https://en.wikipedia.org/wiki/Japanese_Antarctic_Research_Expedition
https://dogs-in-history.blogspot.com/2017/06/taro-and-jiro-antarcticas-survivors.html
https://www.japanbyweb.com/taro-and-jiro/
#เรื่องหมาๆ ในแดนอาทิตย์อุทัย ไม่ได้มีแค่ฮาจิโกะเท่านั้นนะ!