วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 5] สี่จตุรเทพแห่งโคโดคัน
เอาล่ะครับ สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ก็ได้โอกาสมาเขียน “เชิงอรรถ” ต่อนะครับ วันนี้จะขอพูดถึงประวัติความเป็นมาของ “สี่จตุรเทพแห่งโคโดดัน” ว่าไปไงมาไง แล้วมาเป็นสี่จตุรเทพได้ยังไง ซึ่งแต่ละคนนี่เกือบทุกคนผมบอกเลย “ใหม่ที่นี่แต่เก่าจากที่อื่น” มาทั้งนั้น ประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ว่าซั่น จะมัวช้าอยู่ไยขอบรรยายเรียงคนไปเลยนะครับ
คนแรกเลยที่แลดูเตะตากว่าใคร คือ “อสูรโยโกยามะ”
“อสูรโยโกยามะ” โยโกยามะ ซาคุจิโร่ (ที่มา wikipedia)
โยโกยามะ ซาคุจิโร่ (横山作次郎) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2407 ที่ซางิโนะมิยะ โตเกียว เคยร่ำเรียนวิชายูยิตสูสำนัก “เทนจินชินโยริว” แล้วก็เรียนยูยิตสูสำนัก “คิโตริว” ด้วย แถมพอหลังจากไปเป็นตำรวจที่จังหวัดยามากาตะ ว่ากันว่าเคยไปเรียนกับสำนักไดโตริวไอคิจุจุทสึ (ซึ่งเป็นรากเหง้าเค้ามูลของ “ไอคิโด”) ที่ตอนหลังมาเป็นศิษย์ท่านคาโน่ เพราะเจอกับ ไซโก ชิโร่ แล้วสู้ไม่ได้ (เอาจริงดิ)
โยโกยามะ ซาคุจิโร่ วัยหนุ่ม (?) (ที่มา Facebook)
โยโกยามะเข้าสำนักโคโดคัง เมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2429 (อายุได้ 23 ปี) ด้วยความที่ใหม่ที่โคโดคันแต่เก๋ามาจากที่อื่นมาก่อนจึงได้ขึ้นดั้งอย่างรวดเร็ว เดือนพฤษภาคมได้โชดัง (สายดำขั้นแรก) เดือนกันยายนได้สองดั้ง เดือนมกราคมปี พ.ศ. 2430 ได้สามดั้ง ดั้งขึ้นพรวดๆ เลยครับ
ที่ได้ฉายา “อสูรโยโกยามะ” (鬼横山) นั้น ก็มาจากความบ้าพลังล้วนๆ ด้วยความสูง 176 ซม. หนัก 86 กก. สำหรับคนญี่ปุ่นยุคนั้น มัน “ยักษ์” ชัดๆ ว่ากันว่าท่าถนัดคือ มาวาริโกมิฮาไรโกชิ (回込み払腰) ทาวาระกาเอชิ (俵返) แถมยังท่าประจำตัวคือ “เทงงูนาเงะ” (ท่าทุ่มเทงงู) ด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าจริงๆ มันเป็นไง (ได้แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากกระบวนท่า “เทงงูคาจิ” (天狗勝) ของสำนักเทนจินชินโยริวนี่แหละ (แล้วมันเป็นยังไงวะ 555)
อสูรโยโกยามะนี่แหละครับที่เป็นอาจารย์สอนวิชาให้ “มาเอดะ มิตสึโยะ” บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสู
โยโกยามะ ซาคุจิโร่ ได้รับการอวยยศสูงสุดเป็นยูโดเจ็ดดั้ง ในปี พ.ศ. 2447 (สูงสุดแล้วในยุคนั้น) ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2455 ด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร (แต่ในวิกิฝรั่งเขียนไปเรื่อยว่าตายในการดวล ซะงั้น) หลังมรณกรรม ได้รับการอวยยศเป็นแปดดั้ง
โทมิตะ ทสึเนะจิโร่ (ที่มา wikipedia)
โทมิตะ ทสึเนะจิโร่ (富田常次郎) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2408 เป็นศิษย์คนแรก ของโคโดคันยูโด เป็นนักเรียนประจำที่ใช้ชีวิตกิน นอน ฝึก ร่วมกับไซโก ชิโร่ เลยทีเดียว และเป็นคนเดียวในสี่จตุรเทพที่เป็นลูกหม้อโคโดคันขนานแท้ คือเรียนจากท่านคาโน่มาแต่แรกจริงๆ ไม่ใช่ใหม่ที่นี่แต่เก่าจากที่อื่น โดยที่พ่อของท่านคาโน่ชักชวนว่า “ไปเรียนที่โตเกียวกับลูกชายฉันไหมล่ะ”
โทมิตะ ทสึเนะจิโร่ เป็นศิษย์แรกรุ่นจริงๆ ตั้งแต่ยุคที่ท่านคาโน่อาศัยพื้นที่ในวัดเอโชจิตั้งโรงฝึกชั่วคราวขนาดแค่ 12 เสื่อ (ตีว่าราวๆ 20 ตารางเมตร) ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี พ.ศ.2425 เรียนกันสอนกันอยู่กับทสึเนะจิโร่สองคน แล้วภายหลังจึงมีศิษย์รุ่นแรกมาอีกแปดคน หนึ่งในแปดคนนั้นมี ชิดะ ชิโร่ (志田四郎) หรือ ไซโก ชิโร่ อยู่ด้วย ได้สายดำดั้งแรก (โชดัน) เดือนสิงหาคมปี พ.ศ. 2426 รุ่นเดียวกับชิดะด้วย
บทบาทสำคัญอันหนึ่งที่มีผลต่อประวัติศาสตร์ของวิชาต่อสู้ในระดับโลก นั่นคือ การที่โทมิตะตัดสินใจไปอเมริกาเพื่อไปเผยแพร่วิชายูโดในปี พ.ศ. 2448 (ตามรอยความสำเร็จของยามาชิตะ โยชิทสุงุ ที่เคยได้ไปสอนวิชายูโดให้ประธานาธิบดีรูสเวลท์มาแล้ว) ตอนนั้น โทมิตะ นำเอา มาเอดะ มิตสึโยะ ไปเป็นผู้ช่วยสาธิตด้วย นั่นแหละครับ นั่นแหละครับ มาเอดะถึงได้ไปเมืองนอกแบบ ไปแล้วไปลับไม่เคยได้กลับญี่ปุ่นอีกเลย จนกลายเป็น “บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสู” นี่แหละครับ โทมิตะได้พามาเอดะไปโชว์วิชายูโดหลายอีเวนต์อยู่ รวมถึงเปิดสโมสรยูโดในปีเดียวกันนี้ด้วย ที่อาคารเลขที่ 1947 ถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค
เกร็ดประวัติศาสตร์อีกเรื่อง บุตรชายของโทมิตะ ทสึเนะจิโร่ คือ โทมิตะ ทสึเนโอะ (富田常雄) เป็นนักเขียนที่ดังจากการเอาเรื่องของยูโดมาเขียนเป็นนิยาย คือ สึงาตะ ซันชิโร่ และ ยาวาระ เรื่อง สึงาตะ ซันชิโร่ นั้นตอนหลัง คุโรซาวะ อากิระ นำไปทำเป็นหนัง ครับ
โทมิตะ ทสึเนะจิโร่ ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2480
ยามาชิตะ โยชิทสุงุ (ที่มา wikipedia)
ยามาชิตะ โยชิทสุงุ (山下義韶) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2408 ที่แคว้นคางะ (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดอิชิคาวะ) เคยร่ำเรียนวิชายุทธโบราณสำนักโยชินริว และยูยิตสูสำนักเทนจินชินโยริว เข้าสำนักโคโดคันเมื่อปี พ.ศ. 2427 ด้วยความที่ “ใหม่ที่นี่แต่เก่าจากที่อื่น” (อีกแล้ว) จึงได้ขึ้นดั้งอย่างรวดเร็ว เข้าสำนักสามเดือนได้โชดัง อยู่สำนักมาสองปีได้สี่ดั้ง ว่ากันว่าเคยก่อวีรกรรมสู้กับกรรมกร 17 คน จับทุ่ม รัดคอ มีสามคนโดนหักแขนด้วย (อะไรจะขนาดนั้น)
มูลเหตุที่ได้ไปสอนวิชาให้ประธานาธิบดีรูสเวลท์นั้น มีดังนี้
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 นาย ซามูเอล ฮิลล์ ผู้บริหารระบบรถไฟในซีแอตเทิล ตัดสินใจว่าเจมส์ นาธาน ลูกชายวัย 9 ขวบของเขาควรเรียนยูโด (น่าจะรู้จักชื่อยูโดตอนไปทำธุรกิจที่ญี่ปุ่น) ประมาณว่า อยากให้เรียนเรื่อง จิตวิญญาณซามูไร อะไรประมาณนั้น นายมาซาจิโระ ฟุรุยะ ที่เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจ พูดถึงนายชิบาตะ คาซูโยชิ ที่เรียนที่มหาวิทยาลัยเยล ซึ่งนายชิบาตะก็พูดถึงยามาชิตะอีกทีนึง พอปีต่อมาคือ พ.ศ. 2446 นายฮิลล์เลยเขียนจดหมายเชิญยามาชิตะให้มา ซึ่งยามาชิตะพร้อมกับลูกศิษย์คือ คาวากุจิ ซาบุโร่) ก็ได้ออกเดินทางไปที่ซีแอตเทิลเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2446
ยามาชิตะมาถึงซีแอตเทิลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2446 หนึ่งสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2446 ยามาชิตะและคาวากุจิได้จัดการแสดงวิชายูโดที่โรงละครที่ซีแอตเทิล จนแบบว่าคนญี่ปุ่นในอเมริกาตั้งสโมสรยูโดที่ซีแอตเติลเลย หลังจากนั้นก็ไปที่กรุงวอชิงตัน และก็ได้ไปเยี่ยมสถานทูตญี่ปุ่น ผู้บัญชาการทหารเรือญี่ปุ่น ทาเคชิตะ อิซามุ ท่านก็พา ศ.ยามาชิตะไปพบกับท่านประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลท์ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็หัดบ๊อกซิ่งกับมวยปล้ำอยู่แล้ว (ในทำเนียบขาว) ศ.ยามาชิตะก็ได้สอนยูโดให้ท่านประธานาธิบดี แล้วท่านประธานาธิบดีก็หนุนให้ ศ.ยามาชิตะ ได้งานสอนวิชายูโดที่โรงเรียนนายเรือสหรัฐ ซึ่งก็ได้สอนราวๆ หกเดือนช่วงต้นปี พ.ศ.2449 พอสิ้นปีเดียวกัน ศ.ยามาชิตะก็กลับญี่ปุ่น สอนยูโดให้กรมตำรวจโตเกียว
ยามาชิตะ โยชิทสุงุ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 ก่อนหน้านั้นเดือนเดียว คือวันที่ 24 ตุลาคม ได้รับการอวยยศเป็น “สิบดั้ง” คนแรกในประวัติศาสตร์ (ข้อนี้ประหลาด ในแหล่งข้อมูลฝรั่งชอบพูดว่า ได้หลังจากมรณกรรม แต่แหล่งข้อมูลญี่ปุ่นว่า ไม่ใช่นะครับ)
อื้อหือ รูปนี้ ทรงคุณค่ามาก ภาพศาสตราจารย์ยามาชิตะ ถ่ายรูปกับท่านคาโน่ นาย Kermit Roosevelt บุตรชายประธานาธิบดีรูสเวลท์ และนางยามาชิตะ ฟุเดะ ราวปี พ.ศ. 2468 (?) (ที่มา bjjee)
ไซโก ชิโร่ (西郷四郎) เกิดปี พ.ศ. 2409 ที่จังหวัดฟุคุชิมะ เดิมทีนามสกุลชิดะ (志田) แต่ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเพราะไปเป็นบุตรบุญธรรมของ ไซโก ทาโนโมะ (西郷頼母) อดีตพ่อบ้าน (คะโร 家老) แห่งแคว้นไอซุ คนนี้ก็เป็นศิษย์โคโดคันแรกรุ่นที่กิน นอน ฝึก ด้วยกันกับโทมิตะ ทสึเนะจิโร่ แต่ ไม่น่าจะใช่มือใหม่ซะทีเดียว ด้วยความที่เป็นลูกคนที่สามของซามูไรแคว้นไอซุที่ชื่อ ชิดะ ซาดาจิโร่ (志田貞二郎) จึงน่าจะได้ร่ำเรียนวิชาต่อสู้มาบ้าง ปี พ.ศ. 2425 ย้ายมาเรียนหนังสือในเมืองหลวงคือโตเกียว และก็ได้มาเข้าโคโดคัน พอปีต่อมาคือ พ.ศ. 2546 ก็ได้โชดัง รุ่นเดียวกับโทมิตะ นี่แหละครับ
ไซโก ชิโร่ คือคนที่มีส่วนอย่างมากในการทำให้ยูโดโคโดคันมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ การที่ไซโกเอาชนะคนตัวโตกว่าที่มีวิชา ทำให้คนนิยมนับถือว่า “วิชายูโด” นี่ แน่จริงๆ (ไซโกตัวสูงแค่ราว 153 ซม. หนัก 53 กก. นึกภาพดูว่า ที่ว่าเคยชนะ “อสูรโยโกยามะ” ได้นี่ต้องเก่งขนาดไหนกัน) แต่สิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของไซโกเป็นตำนานก็คือ ท่าทุ่ม “ยามะอาราชิ” (山嵐) ที่ทุกวันนี้เหมือนเป็น “ท่ามายา” (พอๆ กับ บานาน่าชู้ต 555) ที่การ์ตูนญี่ปุ่นเกี่ยวกับยูโดชอบเอาไปเล่น เอาจริงๆ แล้วท่านี้มันเกิดได้เพราะความพิเศษทางกายภาพของไซโกเอง (คือเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่คนอื่นยากที่จะไปทำให้เสมอเหมือนได้) คือการที่มีนิ้วเท้าที่มีพลังดูดอย่างแรงจนต้องเรียกว่าเป็น “ตีนปลาหมึกยักษ์” (ทาโกะอาชิ タコ足 คือแรงดูดมากเหมือนหนวดปลาหมึกยักษ์) ว่ากันว่ามาจากที่ไซโก ชิโร่ เคยทำงานบนเรือประมงมาก่อน
เรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ มีบางกระแสกล่าวอ้างเรื่องที่ว่า ไซโก ชิโร่ เคยได้เรียนวิชายูยิตสูสำนักไดโตริว (อันเป็นรากเหง้าเค้ามูลของวิชาไอคิโด) โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาจาก ไซโก ทาโนโมะ พ่อบุญธรรม กระทั่งอ้างกันไปไกลว่า กระบวนท่า “ยามะอาราชิ” นั้น คือกระบวนการ เซโออิโอโตชิ (背負い落とし) ของยูยิตสูโบราณเวอร์ชั่นดัดแปลงที่ผสมท่าปัดขา (อะชิวาซะ ) เข้าไปด้วย แต่ แนวคิดกระแสนี้ก็ถูกปัดตกไป เนื่องจากไม่พบหลักฐานยืนยันว่า ไซโก ชิโร่ เคยเรียนวิชายูยิตสูสำนักไดโตริวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ไซโกกลับกลายเป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพคนเดียวที่มีอันต้องเดินออกจากสำนักโคโดคัน มูลเหตุแห่งการออกจากสำนักนั้น ในแหล่งข้อมูลของฝรั่งบอกว่า “โดนไล่ออก” จากสำนักในปี พ.ศ. 2433 เพราะไปมีเรื่องข้างถนนซึ่งลุกลามเป็นไปตีกับตำรวจด้วย? แต่ในแหล่งข้อมูลของญี่ปุ่นนั้น กลับกล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2432 ช่วงที่ท่านคาโน่ไปเมืองนอก ไซโกได้รับความไว้วางใจให้ดูแลสำนัก แต่พอปี พ.ศ. 2433 ไซโกออกจากสำนักโดยบอกว่า “ไม่อยากจบชีวิตเป็นแค่นักยูโดคนหนึ่ง” (一介の柔道家で終わりたくない) แล้วก็ ออกไปตามหาความฝันที่ญี่ปุ่นจะได้โลดแล่นบนแผ่นดินใหญ่ (เมืองจีน พูดง่ายๆ คือไปเข้ากับพวกนักเคลื่อนไหวที่เชิดชูอุดมการณ์บุกเมืองจีนนั่นแหละ) เพราะได้มีคนแนะนำให้ไซโกได้รู้จักกับ ซูซูกิ เท็นกัน (鈴木天眼) นักหนังสือพิมพ์สายชาตินิยม นั่นเอง (จึงได้อิทธิพลความคิดตรงนี้)
หลังจากที่ไปเข้าขบวนการเคลื่อนไหวดังกล่าวแล้ว ปรากฎอีกทีว่า ในปี พ.ศ. 2445 ซูซูกิ เท็นกัน ได้ออกหนังสือพิมพ์ “โตโยฮิโนะเดะ ชิมบุน” (นสพ. ตะวันขึ้นทะเลบูรพา) ซึ่งไซโกก็ไปเป็น บก.ให้ด้วย แล้วก็สอนยูโด และวิชาธนู (คิวโด 弓道) ที่นางาซากินี่แหละ
โอ้ นี่มันอะไรกันนี่
ในบั้นปลายชีวิต ไซโก ป่วยเป็นโรคประสาท ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.2465 ท่านคาโน่ได้อวยยศ “หกดั้ง” เพื่อเป็นการไว้อาลัย
สิ่งที่อยากจะพูดถึงมากที่สุดเกี่ยวกับ ไซโก ชิโร่ ก็คือ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแน่ แต่ชีวิตและคาแรกเตอร์ของไซโก ชิโร่ เนี่ย ดันถูกหยิบยกมาเล่าซ้ำในวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นมากที่สุด อาจจะเรียกได้ว่ามากกว่าคนอื่นๆ ในสี่จตุรเทพ อย่างเช่น
นวนิยายเรื่อง สึงาตะ ซันชิโร่ ที่ โทมิตะ ทสึเนโอะ ลูกชายของ โทมิตะ ทสึเนะจิโร่ เขียน นั้น คาแรกเตอร์ของพระเอก (สึงาตะ ซันชิโร่) ก็ไปเอาไซโก ชิโร่ มาเป็นต้นแบบ นวนิยายเรื่องนี้โด่งดังจน คุโรซาวะ อากิระ ต้องเอามาทำหนังโรงถึงสองภาค เลยทีเดียว
สึงาตะ ซันชิโร่ (ที่มา wikipedia)
ในการ์ตูน เรื่อง ข้าชื่อโคทาโร่ “ภาคยูโด” ก็มีตัวละครชื่อ ไซโก ซันชิโร่ เป็นเด็กชมรมยูโดที่ตัวเล็กและมักโดนรังแก แต่ เฮ้ย ใช้ “ยามะอาราชิ” ได้นะเว้ยเห้ย (จะล้อเลียนไปไหน)
ในการ์ตูน Conde Koma การ์ตูนอิงประวัติชีวิตของ มาเอดะ มิตสึโยะ ก็มี ไซโก ชิโร่ โผล่มาสู้กับพระเอก (มาเอดะ) ด้วย โดยมีภาพลักษณ์ของ “ศิษย์ที่หนีหายไปจากสำนัก” ติดตัว
ในการ์ตูน “ลุยแหลกเกินหลักสูตร” ถึงกับยำแหลกว่า บรรพบุรุษของมิซึกิ ยอดนักยูโดดาวรุ่งนั้น คือหนึ่งในสี่จตุรเทพ มิซึกิ โยชิทัตสึ (観月義竜) ที่ “ชื่อเสีย” เพราะแพ้สำนักยินไนในการประลองที่กรมตำรวจ พอแพ้แล้วก็เสียผู้เสียคนเอาแต่กินเหล้า ถึงจะได้หกดั้งทีหลังก็ถือว่าเป็นความด่างพร้อยของวงศ์ตระกูล นี่ก็เหมือนจะเอาคาแรกเตอร์ของ ไซโก ชิโร่ (?) มาเล่น แต่แบบเล่นหนักไปหน่อย ไอ้ที่ฮาก็คือ มิซึกิ ยูกิ ตอนสู้กับพระเอกนั้น ใช้ “ยามะอาราชิ” ได้ด้วย นาเว้ยเห้ย
เกม Fighter’s History ของค่าย DATA EAST มีตัวละครนักยูโดหญิงชื่อ คาโน่ เรียวโกะ (嘉納亮子) มีไม้ตายสุดยอดคือ “ซูเปอร์ยามะอาราชิ” (超山嵐) ครับ ให้ตายสิ
โอ้โฮ ประวัติแต่ละคน คนเขียนนี่ เหนื่อยเลยครับ (ฮา) การเก็บเกร็ดประวัติศาสตร์มาเล่าให้สนุกมีสตอรี่มันก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ งั้น วันนี้ขอลาแต่เพียงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 4] ยูยิตสูสำนักคิโตริว
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 3] เรื่องของ “จินเก็มปิน”
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 2] สำนักทาเคโนะอุจิ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 1] เกะฮายะ ปะทะ สุคุเนะ
– ว่าด้วยคำว่า “อดทน” ในภาษาญี่ปุ่น กามัน (我慢) กับ นินไต (忍耐)
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 5] สี่จตุรเทพแห่งโคโดคัน