วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 8] Soshihiro Satake บิดาแห่ง BJJ ผู้ถูกลืม?
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รัก หลังจากได้พาท่านผู้อ่านไปพบกับประวัติศาสตร์การเผยแพร่วิชายูยิตสูและยูโดที่ฝั่งอังกฤษไปแล้ว ทีนี้ ขอวกมาพูดถึงประวัติศาสตร์ของการเผยแพร่วิชายูยิตสูในอเมริกาใต้ อันเป็นต้นธารของวิชา “บราซิลเลียนยูยิตสู” (BJJ) กันบ้าง ซึ่งตามประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” นั้น มักจะถูกสื่อให้เข้าใจว่า มาเอดะ มิตสึโยะ ผู้เป็นอาจารย์ของวงศ์เกรซี่ (อันได้แก่คาร์ลอสและเฮลิโอเป็นต้น) นั้นคือ “บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสู” แต่ ในเมื่อนักยูยิตสูญี่ปุ่นที่มาเผยแพร่วิชาถึงอเมริกาใต้ ไม่ได้มีแต่มาเอดะ ฉันใด “บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสู” ก็ไม่ควรถูกกล่าวถึงแค่มาเอดะคนเดียว ฉันนั้น ฉะนั้น วันนี้ ขอมาเล่าประวัติศาสตร์ของ Soshihiro Satake “บิดาแห่ง ฺBJJ ผู้ถูกลืม” ผู้นี้กันครับ
ซาทาเกะ โนบุชิโร่ หรือที่ฝรั่งไปเรียกผิดเป็น Soshihiro Satake (ที่มา wikipedia)
Soshihiro Satake ซึ่งจริงๆ เป็นชื่อที่ฝรั่งจำและเรียกกันผิดๆ (เพราะชื่อญี่ปุ่นจริงๆ คือ ซาทาเกะ โนบุชิโร่ (佐竹信四郎) ครับ ไม่รู้ฝรั่งมันไปจำกันยังไงกลายเป็น Soshihiro เฉย 555 นั้น เกิดที่จังหวัดยามากุจิ (ไม่ทราบปีเกิด) เข้ามาเป็นศิษย์โคโดคันเมื่อเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2435 ถือว่าเป็นศิษย์ “รุ่นที่สอง” รุ่นเดียวกับมาเอดะ จบ ม. วาเซดะ สาขาภาษาญี่ปุ่นและรัฐศาสตร์ ปี พ.ศ. 2447 ที่น่าสนใจคือ ตอนเรียนมหาลัย ไปตั้งชมรมซูโม่ที่มหาลัยด้วย
ปี พ.ศ. 2449 ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปอเมริกาโดยทีแรกหมายใจจะไปเรียนที่ ม. โคลอมเบีย แต่พอได้ยินเรื่อง มาเอดะ มิตสึโยะ ท่องยุทธจักร ก็เลยเอามั่ง (ฟังดูลิเกมาก) พอตอนหลัง จึงไปอยู่เม็กซิโก สอนยูโด ทำโรงงานถุงเท้าไปด้วย จนปี พ.ศ. 2477 จึงกลับญี่ปุ่น ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2479
…ทั้งหมดที่พูดมานี้ เป็นข้อมูลจากวิกิพีเดียญี่ปุ่น ซึ่งมีข้อมูลน้อยนิดมาก
พอไปอ่านวิกิฯ ฝรั่ง รายละเอียดอะไรมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ ดังที่จะเก็บความมาเล่าต่อไปนี้
ในวิกิฝรั่งเล่าว่า ซาทาเกะนั้น ไปอเมริกาทริปเดียวกับ โทมิดะ ทสึเนะจิโร่ และ มาเอดะ มิตสึโยะ เพื่อไป “สาธิตวิชายูโด” ในปี พ.ศ. 2447 นี่แหละครับ ซึ่งศิษย์โคโดคังกลุ่มนี้ก็จะมีเมมเบอร์มาแจมแบบเข้าๆ ออกๆ ไปตามที่ต่างๆ ในโลก เช่น ปี พ.ศ. 2449 ไปอังกฤษ ปี พ.ศ. 2451 ไปเม็กซิโก ปี พ.ศ. 2453 ไปคิวบา แล้วปี พ.ศ. 2455 เดินสายลงอเมริกาใต้ไปตามประเทศต่างๆ ได้แก่ เอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา ฮอนดูรัส ปานามา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเปรู จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2457 ก็มาถึงเมืองเซา เปาโล ทำการโชว์สาธิตวิชาร่วมกับมาเอดะและคนอื่นๆ พำนักอยู่ที่เซา เปาโล อยู่สามสัปดาห์
มาถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2458 ทีมงานก็ได้มาถึง ริโอ เดอ จาเนโร แล้วก็มาจัดชาเลนจ์ ประมาณว่า ถ้าใครท้าสู้แล้วยังอยู่ได้ 15 นาที เอาไปเลย 500 ฟรังค์ ถ้าชนะ รับไปเลย 5,000 ฟรังค์ แล้วก็ยังโชว์สาธิตวิชาไปด้วย พอเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน มีนักมวยปล้ำชื่อ Matuchevich มาแข่ง submission grappling ซึ่งก็โดนซาทาเกะรัดคอแพ้ไป
สิ่งที่น่าสนใจคือ หนังสือพิมพ์สมัยนั้นชอบเขียนว่า ซาทาเกะ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าล็อคขา ชะรอย การล็อคขาคงเป็นสิ่งที่ “เคยมี” ในยูโดหรือ BJJ ยุคแรกเริ่ม (ก่อนที่จะถูกตัดทอนไป? แล้วก็ถูกนำมาใส่อีกทีหลัง?) ละกระมัง อีกไม่กี่เดือนต่อมา คณะของมาเอดะก็เดินสายไปทั่วประเทศบราซิลเพื่อสาธิตและแข่งขันกับผู้ท้าชิงในท้องถิ่น ได้ไปที่เมืองเบโลโอรีซอนตี ซัลวาดอร์ บาเอีย และเรซิเฟ เบเลม มาเนาส์ แล้วย้อนกลับมาที่เบเลมอีกครั้งพอเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2459 มาเอดะและซาทาเกะก็ได้แยกทางกันเป็นครั้งแรก โดยมาเอดะกับคณะ ไปที่อังกฤษ โปรตุเกส สเปน ฝรังเศส ซาทาเกะยังอยู่บราซิลแล้วไปตั้งหลักที่มาเนาส์ ตั้งโรงเรียนสอนยูโด/ยูยิตสู ส่วนมาเอดะหลังจากไปทัวร์ยุโรปก็กลับมาบราซิลในปี พ.ศ. 2460 แล้วไปตั้งหลักที่เบเลม
ว่ากันว่า ซาทาเกะกับมาเอดะและคณะ ได้จับมือกันเดินสายที่นิวยอร์คอีกครั้งในปี พ.ศ. 2464 อีกปีต่อมา ซาทาเกะไปยุโรป และข้อมูลในสายของฝรั่งเกี่ยวกับชีวิตของซาทาเกะก็จบแต่เพียงเท่านี้
สิ่งที่น่าคิดก็คือ เรามักได้ยินคำว่า “ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์” เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแม้แต่ใน “ประวัติศาสตร์” ของ “บราซิลเลียนยูยิตสู” นักยูยิตสู/ยูโดญี่ปุ่นที่มาเผยแพร่วิชาที่บราซิลไม่ได้มีแต่มาเอดะ ยังมีซาทาเกะคนนี้ มี จีโอ โอโมริ มี ยาโนะ ทาเคโอะ (ศิษย์สำนักไดนิปปอนบุโตคุไค ภายใต้การสอนของ อิโซไก ฮาจิเมะ) ผู้ซึ่งสู้ได้เสมอกับทานาเบะ มาตาเอมอน เจ้าสำนักฟุเซ็นริว ว่ากันว่า ยาโนะ ทาเคโอะ เป็นคนเอากระบวนท่า heel hook เข้ามาใน BJJ) และก็พี่น้องโอโนะ โดยเฉพาะซาทาเกะนั้น เป็นศิษย์รุ่นเดียวกัน อาจารย์เดียวกันกับมาเอดะด้วยซ้ำ แล้วยังอยู่ด้วยกันเดินสายกันมาไม่รู้กี่ปี แต่ทำไมถึง “ถูกลืม”
Geo Omori หรือชื่อเดิม โอโมริ โจจิ (大森城司) (ที่มา Facebook)
ยาโนะ ทาเคโอะ เป็นศิษย์ของอิโซไก ฮาจิเมะ (ที่เคยประลองกับทานาเบะถึงสามครั้งแล้วยังกินกันไม่ลง) ยาโนะคนนี้เคยสู้เสมอกับ เฮลิโอ เกรซี่ มาแล้ว (ที่มา tapology)
“ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์” และในที่นี้ “ผู้ชนะ” คือผู้ที่สามารถตั้งสำนักตัวเองเป็นสำนักใหญ่ที่ทรงอิทธิพลได้ นั่นก็คือพวก “วงศ์เกรซี่” เมื่อผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์ ย่อมเขียนประวัติศาสตร์เชิดชูเพียงแค่อะไรที่เกี่ยวกับ “ตัวเอง” เท่านั้น
“วงศ์เกรซี่” จึงเขียนประวัติศาสตร์โดยเชิดชูมาเอดะ ซึ่งเป็นอาจารย์ของตน อย่างเลิศลอย เพื่อจะบอกว่า อาจารย์ที่แท้ บิดาแห่งบราซิลเลียนยูยิตสูที่แท้ มีเพียงหนึ่งเดียว (คือมาเอดะ) และผู้สืบทอดที่แท้ วิชาบราซิลเลียนยูยิตสูที่เที่ยงแท้ มีแต่คาร์ลอสและวงศ์เกรซี่เท่านั้น เท่ากับกลบฝังการมีอยู่หรือความสำคัญของอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากญี่ปุ่น เพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งวิชาที่โตขึ้นมาเป็น “บราซิลเลียนยูยิตสู” จวบจนทุกวันนี้ไปเสีย
นั่นแหละครับ
ยังดี ที่คนในยุคต่อมา มีความคิดเชิงวิพากษ์มากขึ้น จึงมีใจจะค้นหาข้อเท็จจริงที่อาจจะไม่เหมือนกับ “ประวัติศาสตร์กระแสหลัก” แล้วมาเผยแพร่ให้คนได้รับรู้กัน ผมก็เลย มีเรื่องมาเขียนให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันนี่แหละครับ
อาทิตย์หน้าจะเป็นเรื่องราวอะไรต่อนั้น ต้องติดตามชมนะครับ วันนี้ก็ขอลาไปก่อนพบกันใหม่สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 7] ทานิ ยูคิโอะ ผู้เอาวิชายูยิตสูไปเผยแพร่ถึงเกาะอังกฤษ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 6] ทานาเบะ มาตาเอมอน ผู้ซึ่งสี่จตุรเทพยังขยาด!
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 5] สี่จตุรเทพแห่งโคโดคัน
– ว่าด้วยคำว่า “อดทน” ในภาษาญี่ปุ่น กามัน (我慢) กับ นินไต (忍耐)
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 4] ยูยิตสูสำนักคิโตริว
#ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 8] Soshihiro Satake บิดาแห่ง BJJ ผู้ถูกลืม?