สีครามกับญี่ปุ่น
ภาพประกอบโดย WALK on CLOUD
สีครามของญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็นสีถูกโฉลกในยุคสมัยของบุชิ (武士:ぶし) ซึ่งเป็นสมัยของนักรบซามุไร
พอมาในยุคสมัยเมจิที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ นานาประเทศรับรู้สีครามนี้ในนามว่า “Japan blue”
สีครามในภาษาญี่ปุ่นนั้นคือคำว่า
藍色
あいいろ
[อะอิอิโระ]
สีคราม
Indigo
ในประเทศญี่ปุ่นมีกระบวนการย้อมสีครามโดยสกัดจากต้นไม้ที่ชื่อว่า 藍 [อะอิ]
ต้นอะอิ (藍)
ในการสกัดสีครามจากต้นอะอินั้น เนื่องจากสารที่ให้สีนั้นมีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำ เราจึงไม่อาจสกัดสีได้จากการต้มกับน้ำ จึงใช้วิธีการสกัดสีครามโดยการเอาต้นอะอิใส่ไว้ในโอ่ง (甕) แล้วเติมยาเพื่อทำการหมักและสกัดเอาสีออกมา เมื่อนำสีที่สกัดได้ไปย้อมกับผ้าแล้วตากกับอากาศจะออกเป็นสีดินในตอนแรก พอปล่อยให้เวลาผ่านไปจะเกิดกระบวนการ oxidation ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
กระบวนการสกัดสีครามจากต้นอะอินั้นพอทำซ้ำหลายๆ ครั้งจะได้สีเข้มขึ้นเรื่อยๆ
การสกัดสีครั้งที่ 1 เปรียบเปรยได้กับการที่เราได้แต่เพียงส่องมองลงไปในโอ่ง จึงเรียกว่า คะเมะโนะโซะคิ = “ส่องมองลงไปในโอ่ง” (甕覗:かめのぞき)
เมื่อเราย้อมครั้งที่ 3 ถึง 4 เรียกว่า อะซะกิ (浅葱:あさぎแปลตรงๆ ว่า สีต้นหอมอ่อน)
ย้อมครั้งที่ 7 ถึง 8 เรียกว่า นันโดะ (納戸:なんど แปลว่า “ตู้เก็บของ”) ซึ่งคาดว่าเป็นมาจากสีของผ้าม่านที่ใช้ในตู้เก็บของในสมัยรัฐบาลมะคุฟุ
ครั้งที่ 9 – 10 เรียกว่าสีฮะนะดะ (縹:はなだ) ศัพท์คำว่า 縹 [ฮะนะดะ] แสดงถึงหยดสีอะอิที่ไหลไต่ไปตามเส้นด้าย
漂う:ただよう ทะดะโยะอุ = drift ล่องลอย
糸:いと อิโตะ = เส้นด้าย
ครั้งที่ 16 – 18 เรียกว่าสีคง (紺:こん) ว่ากันว่าที่มาของชื่อสีนี้ว่ากันว่ามาจากร้านย้อมสีอะอิที่มีชื่อร้านว่า 紺屋 [โคยะ: こうや)
ครั้งที่ 19 – 23 จะได้สีที่มีความเข้มที่สุดซึ่งเรียกว่า “ขัดโฉะคุ” (褐色:かっしょく) คำว่า 褐 [คะซึ] มีรากศัพท์จากคำว่า 搗つ (かつ:คะซึ) ที่มีความหมายว่า “เอาไม้ตีให้ร่วงลง” ซึ่งแสดงถึงการย้อมสีจนถึงที่สุดจนได้สีที่เข้ม และเสียง “คะซึ” นั้นพ้องกับเสียง “คะซึ” (勝つ) ที่แปลว่า “ชนะ” จึงเป็นสีถูกโฉลกของเหล่าชนชั้นนักรบ
หากพูดถึงสีครามนั้น เรามักจะมีภาพลักษณ์ว่าดูหรูหราไฮโซ แต่สำหรับยุคสมัยเอะโดะแล้วถือว่าเป็นสีย้อมของชาวบ้านคนทั่วไป
ในยุคสมัยเมจิที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่ชื่อว่า Atkinson ได้พบกับบ้านเมืองของคนญี่ปุ่นที่ย้อมไปด้วยสีคราม อะอิอิโระ (藍色) จึงเรียกสีนี้ว่า Japan blue
ในปีค.ศ. 1890 (ปีเมจิที่ 23) นักเขียนชาวอังกฤษที่มีนามว่า Lafcadio Hearn เดินทางมาญี่ปุ่น และเขียนบันทึกไว้ในหนังสือ Glimpse of unfamiliar Japan ไว้ว่า “ใต้หลังคาสีน้ำเงินมีบ้านหลังเล็กๆ ร้านที่ติดผ้าโนะเรนสีน้ำเงินก็เล็กๆ ผู้คนที่สวมชุดคิโมะโนะสีน้ำเงินที่กำลังหัวเราะก็ตัวเล็กๆ”
สีอะอิหรือสีครามนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมญี่ปุ่น และมีคำศัพท์ต่างๆ ที่แสดงถึงเฉดสีหลายๆ แบบของสีอะอินี้เหล่ามีการจดทะเบียนชื่อเฉดสีอะอิต่างๆ ไว้โดยองค์กร Japanese Industrial Standards
กระบวนการย้อมสีจากต้นอะอิด้วยวิธีการดั้งเดิมยังเป็นวัฒนธรรมที่ญี่ปุ่นพยายามรักษาต่อไปในภายภาคหน้าเพื่อคงความ Cool Japan ไว้ยิ่งยืนนาน
ภาพประกอบ WALK on CLOUD
เรื่องแนะนำ :
– โลกหลังความตายของเทพอิซะนะมิ ภรรยาของเทพให้กำเนิดญี่ปุ่น
– เทพแห่งพายุ สุสะโนะโอะ (Susanoo no Mikoto)
– ความแตกต่างระหว่าง 妥当[ดะโต] “เหมาะสม” และ 適当[เทะคิโต] ที่มีหลายความหมาย
– ยามะจังหลังภาวะ global pandemic ใฝ่หาความเปลี่ยนแปลง
– การจากไปของประธานยามะจัง สานต่อด้วยคุณภรรยา
อ้างอิง
– https://story.nakagawa-masashichi.jp/craft_post/115771
– https://ja.m.wikipedia.org/wiki/アイ_(植物)#
– https://www2.fashion-guide.jp/color/deep-blue/
– https://819529.com/2013/05/ちく仙の伝統色・褐色(かちいろ)/
– http://www.premium-j.jp/premiumcalendar/20230803_28852/#page-1
– https://fromkato.com/color/2c6090#google_vignette
– https://fromkato.com/color/006880#named
– https://fromkato.com/color/343c54#named
– https://www.e-sebiro.com/未分類/紺とネイビーの違い%E3%80%802024年の流行色とは
#สีครามกับญี่ปุ่น #Indigo Japan Color #Japan Blue