คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
ว่าด้วยคำว่า “อดทน” ในภาษาญี่ปุ่น กามัน (我慢) กับ นินไต (忍耐)
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน พอดี ลืมไปว่า เดือนมิถุนายนมีห้าสัปดาห์ 555 ดังนั้น ก่อนที่จะขึ้น “เชิงอรรถ” ของประวัติศาสตร์ฯ ขออนุญาตลง “คั่นรายการ” ที่เขียนไว้ก่อน นะครับผม
ในช่วงที่ผมเขียน “คั่นรายการ” ตอนนี้อยู่ (พฤษภาคม ๒๕๖๗) …
ผมรู้สึกว่าตัวเองแม่งห่วยแตกว่ะ! หาไรดีไม่ได้สักอย่าง ในเรื่อง BJJ แพ้แม่งแทบทุกรอบ และแทบไม่เคยซับมิชชั่นใครได้เลย (ผลประกอบการบนเบาะอันสุดห่วยนับแต่ต้นปี)
แล้วมึงมีเชี่ยไรดีว๊ะ!? ผมถามตัวเอง
ถ้ามันจะมี ก็คงมีอย่างนึงคือ “อดทน” ถึงจะแพ้ แต่ไม่ยอมแพ้
ผมรู้สึกว่า การที่ผมมาใส่ใจ โฟกัสเรื่องการใช้เทคนิคไม่ใช้แรง เรียนรู้กลยุทธ์มากขึ้น มันก็ดี มันทำให้ไม่แพ้ สามารถป้องกันตัวได้…แต่ยังเอาชนะใครไม่ได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองกากกว่าตอนกำลังจะขึ้นสายน้ำเงินอีก ตอนนั้นอยู่บนเบาะไล่ทุ่มไล่อัดคนสนุกสนานกว่านี้เย๊อ (เสียงสูง)
อ้าวแล้วมันเกี่ยวไรกับ คำว่า “อดทน” ที่จั่วหัวอยู่ตอนนี้วะ? 555
เพื่อเป็นการเข้าเรื่องเสียที ก่อนอื่นผมขอแนะนำภาษาญี่ปุ่นวันละสองคำนะครับ คำที่แปลไทยได้ว่า “อดทน” นั้นในภาษาญี่ปุ่นมีสองคำ คือ กามัน (我慢) กับ นินไต (忍耐)
แปลได้ว่า “อดทน” เหมือนกัน แต่ “อดทน” ไม่เหมือนกันนะ!!
“อดทน” อย่าง กามัน (我慢) คือ ทนแบบ กล้ำกลืน ฝืนทน ข่มกลั้นความเจ็บไว้ในใจ แบบเมื่อชีวิตต้องเจอกับสิ่งที่ไม่รู้จะแก้ไขยังไง จึงได้แต่ต้องทนให้มันผ่านพ้นไป
จริงๆ แล้ว คำว่า กามัน (我慢) เป็นคำศัพท์พุทธศาสนานะครับ เป็นคำยืมแปลของคำว่า “อัสมิมานะ” อัสมิมานะ คือ “การถือเขาถือเรา” ซึ่งจะถือว่าตัวต่ำกว่าคนอื่น หรือสูงกว่าคนอื่นก็ได้
กามัน ที่กลายเป็นแปลว่า “อดทน” นั้น ถ้าจากต้นคำเดิมโดยตีความจากคำพุทธศาสนา มีสองแง่
แง่หนึ่ง เพราะคิดว่าตัวเองต่ำต้อย ไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้ จึงต้อง “จำทน”
อีกแง่หนึ่ง เพราะคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่า หรืออย่างน้อย ก็ไม่ยอมด้อยกว่า จึงไม่ต้องการแสดงให้ใครเห็นความอ่อนแอหรืออ่อนด้อยกว่า ต้อง “โชว์พาว” ว่า กูอึด ทนได้ ไม่บ่น ไม่คร่ำครวญ หรือขอความเมตตาจากใคร (เพราะถ้าบ่น คนจะยี้ว่า อ่อนแอจังว่ะ)
นัยแฝงของคำว่า “กามัน” ที่แปลว่าอดทน (ในบริบทสังคมญี่ปุ่น) ก็มีสองนัยดังนี้
“อดทน” อย่าง นินไต (忍耐) คือ ทนแบบ สู้ทน ฟันฝ่า นิ่งไว้ แล้วหาทางไปให้ถึงจุดหมาย เอาความเจ็บปวดพ่ายแพ้เป็นแรงผลักดันให้หัวใจ เพื่อที่จะได้ไปถึงจุดหมาย (ชัยชนะ) ในสักวัน
คำว่า นินไต (我慢) นั้น อาจพูด (เป็นภาษาญี่ปุ่น) อีกอย่างได้ว่า ทาเอะชิโนบุ(耐え忍ぶ)มาจากคำวา ทาเอะรุ กับ ชิโนบุ มาประสมกัน
ทาเอะรุ (耐える) แปลว่า ทนทาน เจออะไรกระทบกระแทก ก็ต้องทานมันไว้ให้ได้
ชิโนบุ (忍ぶ) แปลว่า นิ่งไว้ อย่าให้ไก่ตื่น (สงบนิ่งรอกระทำ เหมือนนินจา 忍者 ที่ไปซุ่มรอได้เป็นชั่วโมงๆ เพื่อดักฟังหรือลอบสังหารนั่นแล)
มันก็มีนัยยะเช่นนี้
ผมมานึก ในวัยหนุ่มที่ชีวิตก็ไม่ได้สวยหรู แต่มาจับพลัดจับผลู ได้ทุนไปเรียนที่โอซาก้า หลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตช่วงวัยหนุ่ม หากไม่มี “นินไต” (忍耐) ไม่คิดหาวิธีไปให้ถึงจุดหมาย ไม่อดทน สู้ทน กับความลำบากหลายๆ อย่าง ก็คงจะเรียนไม่จบ
เพราะผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เรียนเก่งไรมาก ต้นทุนติดตัวมีน้อย ก็ต้องเอาความใจสู้เข้าแลก
มาถึงตอนนี้ที่ไม่ได้หนุ่มแล้ว บางทีก็ยอมรับ ว่าลึกๆ ในใจ เหมือนจะยอมรับว่า ตัวเองแก่
ตอนนี้ผมรู้สึกเสียใจที่ไปยอมรับแบบนั้น เพราะมันเป็นการเปิดช่องให้ใจตัวเองไม่รู้สึกผิดเวลาที่ตัวเองแพ้
มันทำให้ผมสูญเสีย “นินไต” (忍耐) ไป สูญเสียความใจสู้ สู้ทน ไปเสีย (ก็ในเมื่อไปยอมรับความเหนือกว่าของคนอื่นแล้ว เท่ากับจิตใจนั้นได้ “ยอมจำนน” ไปเรียบร้อยแล้ว)
อย่างไรก็ดี บางครั้ง คำตอบของปัญหา มันก็อยู่ข้างในตัวปัญหานั่นแหละ โซลูชั่นของมันเอาจริงๆ ไม่ได้อยู่ไกล
จริงๆ แล้ว ถ้าตั้งจิตให้ถูก ผมว่าผมก็ควรเอาตัวการฝึก BJJ นี่แหละ เรียก “นินไต” ในตัวเองกลับมา
ผมซ้อมทุกวันที่มาได้ ทั้งที่อ่อนล้า
และทั้งๆ ที่รู้สึกห่วยแตกและพ่ายแพ้
เพราะผมคิดว่า ถ้าผมหลบลี้หนีหน้า อ้างความต่างๆ นานา ที่จะไม่ซ้อม ก็เท่ากับผมคราวนี้ หาดีไรไม่ได้สักอย่างเลย ของจริง จริงๆๆๆ แล้วล่ะ
แต่ถ้าผมเผชิญหน้า เจอกับสายม่วงที่ตัวโตๆๆ เอาแบบตัวโตกว่า พลัง grip มหาศาล บางทีผมเหนื่อยนะ แต่ผมก็จะพยายามเผชิญหน้ากับคนด้วยท่ายืนเสมอ
ผมคิดว่า ถ้าเราบีบตัวเองมาถึงจุดที่มันสาหัสมากๆ ถึงจุดหนึ่ง จิตของเราจะคิดหาหนทางต่างๆ เพื่อหาทางเอาตัวให้รอดเอง
มันอาจก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฮิราเมคิ” (閃き) ก็ได้ สิ่งที่มัน “แว่บ” เข้ามาในจิต ก็ได้
แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นได้ ต้องมี “นินไต” (忍耐) ต้องมีกำลังกายใจที่จะทนทานได้ จนกว่าจะได้พบกับ “ฮิราเมคิ” (閃き)
กว่าจะถึงตอนที่เรื่องนี้ได้ลงในเว็บ ผมคงบอกได้แล้วว่ามันเวิร์คไหม แล้วจะมาบอกให้ฟังละกัน
สิ่งที่ผมอยากจะพูดปิดท้ายก็คือ ผมคิดว่า ในยุคสมัยแบบนี้ “นินไต” (忍耐) นั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้ผ่านยุคสมัยไปได้ ในช่วงสามสี่ปีมานี้ เราได้เจอกับเรื่องเฮงซวยหลายอย่าง ทั้งโรคโควิดที่เกิดมาเพื่อต้อนให้คนไปฉีด ก่อนที่จะมาบอกอีกสามปีให้หลังว่ามันไม่ดี? การเมืองเฮงซวยที่เปิดช่องให้พวก…ออกมาทำลายชาติบ้านเมือง ตกลงเรามีการเลือกตั้งไว้เพื่ออะไร? ฝุ่น PM ที่เหมือนพอสืบไปถึงว่า มันมาจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วก็ จบ ไม่ต้องแก้ปัญหาเพราะแก้ปัญหาไม่ได้ (ช่วยอะไรไม่ได้นะ ดมฝุ่นต่อไปเถอะ เหรอ?) ทำอะไรไม่ได้เลย ต้อง “กามัน” (我慢) กล้ำกลืนฝืนทนเข้าไป อย่างเดียวหรือ?
เราไม่คิดที่จะมี หรือจะสร้าง “นินไต” (忍耐) ขึ้นมาเลยหรือ ไม่คิดที่จะสู้ทนฟันฝ่า หาทางเอาชนะให้ได้เลยหรือ?
ผมก็ขอฝากตรงนี้ ไว้ให้ท่านผู้อ่านได้คิด ด้วยนะครับ
โอเคครับ เดือนหน้ากรกฎาคม มาพบกับ “เชิงอรรถ” กันต่อนะครับ สนุกสนานแน่นอน (จริงดิ?) สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (8) การฟื้นคืนชีพของวิชาสายคว้าจับ (grappling) ในสายตาของสังคม
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (7) ความตกต่ำของวิชาสายคว้าจับ (grappling) ในแง่การให้ราคาของสังคม
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (6) คิมูระ มาซาฮิโกะ ยอดยูโดผู้หักแขน Helio Gracie มาแล้ว!
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (5) มาเอดะ มิตสึโยะ Conde Koma ผู้สอนวิชา “ยูยิตสู” ให้คนตระกูลเกรซี่!
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie (4) ยูยิตสูสำนักฟุเซ็น จ้าวแห่งท่านอนที่ถูกโคโดคัน “เทคโอเวอร์”
#ว่าด้วยคำว่า “อดทน” ในภาษาญี่ปุ่น กามัน (我慢) กับ นินไต (忍耐)