เรื่องแทรก by Lordofwar Nick
จิตสำนึกความปลอดภัย ใจที่คิดถึงผู้อื่น ความไม่เห็นแก่ตัว ผมเรียกร้องกับสังคมไทยมากไปมั๊ย?
คำเตือน: บทความนี้เป็นการเขียนแบบด่วนๆ และเขียนอย่างมีอารมณ์เจืออยู่บ้าง อาจไม่ถูกใจบางท่านก็ขออภัย
จากเหตุการณ์รถบัสมรณะพาเด็กๆ ไปตายแทนที่จะไปทัศนศึกษา ผม ในฐานะที่เป็นนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในฐานะคนทำงานโรงงาน ในฐานะพ่อของลูกสองคน ผมเกิดทั้งอารมณ์เกรี้ยดกราดและคำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมายจนอยากจะสบถก่นด่าถึงความ…อะไรต่อมิอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาเด่นชัดที่สุด ก็คือเรื่องคนขับรถบัส “วิ่งหนีไป” นี่แหละ 555 กูอยากถามว่า มึงมีลูกรึเปล่า?
ในฐานะที่ผมศึกษาและเอาเรื่องบูชิโด เรื่องคุณธรรมซามูไรมาเผยแพร่ต่อท่านผู้อ่าน ผมอยากจะถามมันเหลือเกินว่า ไม่ละอายใจมั่งเหรอที่มึงหนีเอาตัวรอดคนเดียวโดยทิ้งเด็กให้ต้องตาย? แต่ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถเรียกร้องคุณธรรมอันสูงส่งกับคนต่ำทรามได้
บางท่านอาจจะหาว่าความคิดผมมัน “ญี่ปุ่นจ๋า” มากๆ ครับ ผมก็แค่หวังว่าถ้าคนในประเทศนี้โดยเฉลี่ยมีจิตสำนึกต่อสังคมมากกว่านี้ เรื่องเลวร้ายต่างๆ มันคงจะน้อยกว่านี้
จากนี้ไปผมจะขอพรรณนาถึง “แนวคิดแบบญี่ปุ่น” ที่มันดี ถ้ามันมีจะดีมากๆ แต่คนไทยไม่ยักมี เรารับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมามากมายเป็นสิบๆ ปี แต่ไม่ยักกะรับสิ่งต่อไปนี้ที่จะทำให้บ้านเมืองและชีวิตของเราดีขึ้น
๑) จิตสำนึกความปลอดภัย แนวคิดอะไรหลายอย่างเพื่อความปลอดภัย (และประสิทธิภาพ) นี่ ญี่ปุ่นเขาผลิตแนวคิดพวกนี้มาเผยแพร่ตามโรงงานมานานแล้วครับ 5 ส. เอย KY เอย โดยเฉพาะไอ้ KY (Kiken Yochi 危険予知 (การหยังรู้ระวังภัย)) นี่ สำคัญนักแหละ การที่ต้องมองล่วงหน้าเลย อะไรที่มันสุ่มเสี่ยงจะเป็นภัย รู้ก่อน หลีกเลี่ยงได้ แก้ไข-ป้องกันได้ ประเทศไทยมีญี่ปุ่นมาตั้งโรงงานไม่รู้กี่สิบปี ตามบริษัทต่างๆ ก็น่าจะต้องมีการเผยแพร่แนวคิดพวกนี้กับพนักงานทุกระดับ แนวคิดพวกนี้ไม่ถูกซึมซับหรือเอาไปเผยแพร่ให้กลายเป็นสามัญสำนึกในสังคมบ้างเหรอ? พวกคนทำงานโรงงานไม่รับสิ่งนี้ในการทำงานที่โรงงานเอากลับไปใช้ที่บ้านหรือบนท้องถนนบ้างเหรอ?
๒) ใจที่คิดถึงผู้อื่น ผมเคยคิดมาตลอดว่า ทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีวัฒนธรรมของการที่แบบ เฮ้ย มึงต้องคิดถึงส่วนรวมนะ ต้องคิดเผื่อคนอื่นนะ ในภาษาญี่ปุ่นถึงมีคำจำพวก “โอโมริยาริ โนะ โคโคโระ” (思いやりの心) ใจที่คิดเผื่อถึงคนอื่น หรือ “ริทะ โนะ โคโคโระ” (利他の心) ใจที่นึกถึงประโยชน์ของผู้อื่นด้วย คือในวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้น มันต้องคิดถึงคนอื่นให้รอบ ไม่ใช่แค่ว่าเขาจะได้ประโยชน์ไหมนะครับ ต้องคิดด้วยว่า เราไปทำแบบนี้ คนอื่นเขาจะเสียประโยชน์ไหม จะสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น (เมย์วาคุ โวะ คาเครุ 迷惑をかける) ไหม
๓) ความไม่เห็นแก่ตัว ข้อนี้สัมพันธ์กับ ๒ ครับ ผมไม่อาจพูดอะไรได้มากไปกว่า คนฉลาดนั้นเขาจะเข้าใจ “ประโยชน์” ของการ “ร่วมมือกัน” (เคียวเรียวคุ 協力) รู้ว่า “รวมกันเราอยู่” การทำอะไรที่ต่างฝ่ายช่วยกัน ส่งเสริมกัน จะทำให้ภาพรวมตอนท้ายออกมาคือ ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย ส่วนคนโง่จะไม่เข้าใจสิ่งนี้ จะเห็นแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า และจะยื้อแย่งแก่งแย่งกันเหมือนฝูงหมา จนพากันเจ๊งชิบหายตายห่ากันหมด คนโง่ คนไม่เคารพกฎ คนทำตัวแหกคอกแค่คนเดียว อาจทำคนทั้งหมู่คณะทั้งหมู่บ้านตายหมดได้
ผมเจอกระทู้หนึ่งใน pantip บางความเห็นก็ขยะ แต่บางความเห็นก็มีค่าจริงๆ ดั่งเพชรเลยทีเดียว ลองอ่านดูนะครับ
มันก็ไม่ใช่ว่าแนวคิดแบบดีๆ ของญี่ปุ่นที่ผมพูดมาจะไม่เข้ามาสู่สังคมไทยหรือหัวจิตหัวใจของคนไทยไปเสียหมดหรอกนะครับ หลังๆ มานี้ ผมก็เริ่มเห็นคำพูด การปฏิบัติ อะไรหลายๆ อย่างในสังคมเมืองใหญ่ๆ ก็มีความเป็นอารยะมากขึ้นตามความเจริญของวัตถุ คนไทยเริ่มรู้จักเข้าคิวมากขึ้นอย่างน้อยก็ตอนซื้อตั๋วรถไฟฟ้า ฯลฯ แต่ดูเหมือนแนวทางปฏิบัติ แนวคิด จิตสำนึกอะไรที่มันดีๆ แบบนี้ เหมือนจะยังจำกัดวงอยู่ แค่คนบางกลุ่ม บางสถานที่เท่านั้น เพราะอะไร?
เพราะสังคมไทย ยังเป็นสังคมที่เป็นชั้นๆ (layers) ที่ไม่เข้ากันมากเกินไป เหมือนน้ำกับน้ำมันที่ต่อให้อยู่ภาชนะเดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้ประสมเป็นเนื้อเดียวกันเลย ก็แยกเป็นชั้นอยู่ของมันนี่แหละ ผมสังเกตว่า ข่าวโศกนาฎกรรมอะไรที่เกิดกับเด็กๆ ทั้งถังดับเพลิงระเบิดใส่ ถูกไฟฟ้าดูด หรือไอ้ที่ล่าสุดรถบัสเนี่ย มักจะเกิดกับโรงเรียนรัฐ โรงเรียนที่บริหารด้วยระบบราชการ ผมสงสัยว่า ในวงการของพวกราชการพวกนี้ยังมีความคิดอ่านจิตสำนึกแนวทางปฏิบัติที่ไม่โอเคหลายๆ อย่าง เหมือนแนวคิด แนวทางปฏิบัติที่มันเป็นอย่างชนชาติที่เขาเจริญกว่า มันไปถึงคนทำงานเอกชนนะ แต่เหมือนมันเข้าไม่ถึงวงราชการฟ่ะ 555 น่าคิดนะว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ส่วนเรื่องที่มีคนโวยว่า ควรยกเลิกการจัดทัศนศึกษาเนี่ย ผมฟังแล้ว นึกถึงเรื่องที่ว่า ทำไมรถไฟฟ้าเมืองไทย ถึงต้องประกาศห้ามกินอาหารและเครื่องดื่มบนชานชาลา หรือบนรถไฟฟ้า ในขณะที่ที่ญี่ปุ่นคนก็กินของบนรถไฟฟ้าได้ไม่มีประกาศห้ามแต่อย่างใด (แต่มีประกาศจำพวก กรุณาตั้งค่ามือถือเป็น “โหมดมารยาท” マナーモード manner mode หมายถึงโหมดปิดเสียงไม่ให้เสียงมือถือรบกวนคนอื่นนะ)
…ก็เพราะคนญี่ปุ่นโดยมาก เขารู้ระวังไม่กินหกเลอะเทอะไงล่ะ (และที่ระวังก็เพราะ “เราต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน”) ถ้ากินแล้วไม่เลอะก็กินได้ ถ้ากินแล้วเลอะ ห้ามก็ไม่ได้ ก็ตัดปัญหาเสีย ไม่ต้องกินเลยละกัน
บางครั้งการแก้ปัญหาที่ดูเหมือนแก้ที่ปลายเหตุ มันก็อาจจะเป็นเครื่องป้องกันการเกิดสิ่งไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้ดีกว่า (ใครที่แย้งว่าการจำกัดหรือห้ามทัศนศึกษาเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ วิสัยทัศน์แคบ สั้น ผมขอถาม ระหว่างความรู้ที่บอกว่าน้อยลงเพราะเด็กไม่ได้ไปทัศนศึกษา กับการพาเด็กไปตาย “ความรู้” กับ “ชีวิต” อะไรมันสำคัญกว่ากัน ไอ้เที่ยวน่ะมีเงินมีเวลาก็ไปได้ ไม่ได้ไปวันนี้ถ้ามี “ชีวิต” อยู่ วันหน้าค่อยไปก็ได้ แต่ถ้าคนเรา “ตาย” ไปนี่ ทุกอย่างจบนะ ทำไรไม่ได้นะ คุณเอาชีวิตลูกๆ คืนมาให้พ่อแม่เขาได้ไหม) หากไม่สามารถพึ่ง “สามัญสำนึกของปัจเจกบุคคล” ในการป้องกันระวังไม่ให้เกิดปัญหาด้วยตัวปัจเจกบุคคลนั้นๆ เองได้ ก็ต้องบังคับตัดตอนเอาเสีย จะหาวิธีแก้ปัญหาน่ะ อย่าโลกสวย และจงยอมรับความจริง (รวมถึงความโง่เขลา ไร้จิตสำนึก ไร้สติที่ผู้คนเป็นกันอยู่) ด้วย
สังคมไทยผ่านมาเป็นร้อยปีก็ยังเป็นสังคมที่ “เป็นชั้นๆ” ที่ไม่ประสมกลมกลืนกัน อยู่ในประเทศเดียวกัน เมืองเดียวกัน เดินถนนเดียวกัน แท้ๆ แต่ความคิดอ่าน โลกทัศน์ ความเข้าใจว่าอะไรถูกผิดดีเลวนั้น กลับต่างกันเหมือนมาจากคนละโลก พูดกันคนละภาษา (ซึ่งเมือเทียบกับคนญี่ปุ่นแล้ว จิตสำนึกร่วมว่าเป็นคนประเทศเดียวกัน เผ้าพันธุ์เดียวกัน มีความคิดอ่านและค่านิยมไปในทิศทางเดียวกัน คนญี่ปุ่นจะมีมากกว่าอย่างยิ่ง นี่อาจเป็นเหตุที่เขาสามารถผลักดันชาติให้เจริญได้)
เมียผมส่งภาพข่าวนี้มาให้ดู ผมดูแล้วก็บริภาษว่า “ก็เพราะประเทศนี้มีคนแบบนี้…”
เมียผมบอกว่าพูดยาก คนจนคนไม่มีกิน ไม่มีการศึกษา มันมีตั้งแต่ล่างระดับยิ่งกว่ารากหญ้า ในประเทศมันมีหลากหลายที่เรายังไม่เคยได้เจออีกเยอะ
ผมก็มาคิด เออ นั่นสินะ ตราบใดที่ประเทศไทยยังเป็น “สังคมที่เป็นชั้นๆ” ที่ไม่ประสมกลมกลืนกันแบบนี้ คงยากที่ริเริ่มทำอะไรที่เป็นการแก้ปัญหาได้ เราจะขอ “ความร่วมมือ” ได้อย่างไรกับคนที่พูดกันคนละภาษา มองโลกต่างกันแบบคนละโลก? เราจะขอให้ “เสียสละแบ่งปันเพื่อส่วนรวม” ได้อย่างไรกับคนที่คิดเป็นแค่ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”? คนเราจะรวมพลังกันได้เหมือนอย่างขบวนการห้าสีน่ะ มันต้องมีชุดความเชื่อ ความคิด เป้าหมายร่วมกัน ถึงจะ “รวมพลัง” กันได้ มิใช่หรือ?
การอภิปรายของผมคงเดิมมาได้ถึงจุดแค่ที่ว่าสังคมไทยมันเป็นสังคมแบบชั้นๆ (layers) ที่ไม่ประสมกลมกลืนกันอย่างแรง ซึ่งสิ่งนี้แหละขัดขวางความ
เจริญทางจิตใจความคิดจิตสำนึกที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาในสังคม รวมถึงการป้องกันมิให้เกิดเรื่องร้ายแรงต่างๆ
แต่ดูเหมือนลำพังสติปัญญาของผมจะไม่สามารถคิดข้อเสนอที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ (แต่ไม่แน่นะ บางทีแนวคิด “รัฐนิยม” อาจเป็นทางออกในการแก้ปัญหานี้ก็ได้นะ ปัญหาคือตอนนี้ผู้คนมัวแต่สมาทานแนวคิด “เสรีนิยม” จนคนคงจะไม่ยอมสมาทานแนวคิดเช่นนี้มาปฏิบัติแล้วกระมัง แต่ก็ไม่แน่ ถ้าภูมิภาคนี้มีสงคราม แนวคิดอาจจะเปลี่ยนก็ได้ กระแสความคิดในสังคมนั้นมักแปรไปตามสภาพเหตุการณ์บ้านเมือง มันเปลี่ยนไปได้มันก็เปลี่ยนกลับได้ ไม่งั้นตอนนี้ในยุโรปฝ่ายขวาคงไม่เริ่มกลับมา “มาแรง” หรอกครับ)
ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วยครับ
สัปดาห์หน้าค่อยว่ากันใหม่นะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 12] ครูทิม อติเปรมานนท์
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 11] Vasili Oshchepkov ศิษย์ยูโดโคคัน ผู้สร้างสรรค์วิชา “แซมโบ้”
– The Emptiness Machine ทำไมผมฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงชีวิต “ซาลารี่มัง” サラリーマン จังเลยห๊ะ?
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 10] “โคเซ็นยูโด” ยูโดท่านอน ที่เกิดก่อน บราซิลเลียนยูยิตสู
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 9] หลุยซ์ ฟรังกา ปรมาจารย์ BJJ นอกวงศ์เกรซี่
#จิตสำนึกความปลอดภัย ใจที่คิดถึงผู้อื่น ความไม่เห็นแก่ตัว ผมเรียกร้องกับสังคมไทยมากไปมั๊ย?