คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
The Emptiness Machine ทำไมผมฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงชีวิต “ซาลารี่มัง” サラリーマン จังเลยห๊ะ?
The Emptiness Machine ทำไมผมฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงชีวิต “ซาลารี่มัง” サラリーマン จังเลยห๊ะ?
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่ (เหมือนกับ) จะจบซีรี่ส์ “ประวัติศาสตร์ของยูยิตสู” ไปแล้ว คราวนี้ ขอเขียนอะไรตามใจตัวเองหน่อยนะครับ แต่ถึงจะตามใจตัวเองยังไง ธีมบังคับของ marumura คือมันต้องเกี่ยวกับญี่ปุ่น ฉะนั้นวิชาเชื่อมโยงก็ต้องมา!!! แต่ ไม่เป็นไรหรอก ระดับนี้แล้ว 5555
ในขณะที่ผมผ่านเดือนสิงหาคมอย่างชอกช้ำเพราะโดนภูมิแพ้เล่นงานหนักมาก เข้าสู่เดือนกันยาที่ก็ยังไม่เห็นอนาคตตัวเองเท่าไหร่ ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกดี มีกำลังใจและความกล้าที่จะสู้กับชีวิตต่อ ครับ Linkin Park กลับมา “อย่างสง่างาม” แล้วครับ พร้อมกับการเปิดตัวนักร้องนำหญิงคนใหม่ Emily Armstrong ที่เปิดมาได้อย่างเดือดกับเพลง The Emptiness Machine ซึ่งพอผมฟังแล้ว เอาใจผมไปเลยเอ้า
(ที่มา billboard)
สิ่งที่ผมชื่นชมการกลับมาของ Linkin Park ในคราวนี้มีอยู่สองอย่าง
หนึ่ง มันคือ “ก้าวที่กล้า” มากๆ คือการที่เชสเตอร์จากไป มันสะเทือนใจใครหลายคนมากจนแบบ ไม่สามารถมูฟออนได้ ข่าวเรื่องการจะหานักร้องใหม่มาแทนคนก็อารมณ์พยายามจะไปเปรียบเทียบ อะไรต่างๆ มากมาย แต่ไมค์ ชิโนดะ กล้าที่จะ “ฉีก” กลายเป็นนักร้องนำหญิงแม่มเลย 555 ผมเคยคิดว่า ไม่มีเชสเตอร์แล้ว LP จะมาแนว “กินบุญเก่า” อยู่กับเพลงเก่าๆ แฟนเพลงเก่าๆ (ที่ยังบูชาและโหยหาเชสเตอร์ ถึงขนาดแม้แต่เพลงล่าสุดนี้ก็ยังมีคนหาทำ ใช้ AI ประดิษฐ์เสียงเชสเตอร์ร้องเพลงนี้ แต่ผมไม่ฟังเลยนะ ผมไม่อยากฟังเชสเตอร์ประดิษฐ์ และผมมองว่าทำแบบนี้ไม่ให้เกียรตินักร้องนำคนใหม่ด้วย เพลงใหม่มันถูกดีไซน์มาเพื่อเธอโดยเฉพาะ เธอไม่ได้มาแทนที่เชสเตอร์ งั้นก็อย่าเอาเชสเตอร์ AI มาแทนที่เธอเลย) ไปเรื่อยๆ รึเปล่า แต่นี่ “กล้า” ที่จะ “เดินไปข้างหน้า” ต่อ จริงๆ
สอง จากการที่ฟังเพลงนี้ เนื้อหาของมัน ผมบอกเลยว่า แนวทางของวงนั้น ก็ “โตตามคนฟัง” อัมบั้มแรกๆ นั้น เนื้อเพลงมันออกแนว “เด็ก (วัยรุ่น) มีปัญหา” หลงเดินทางผิด ชีวิตติดยา อะไรประมาณนี้ (ซึ่งมันก็มีตัวตนของเชสเตอร์อยู่ในนั้น)…
แต่เพลง The Emptiness Machine ผมฟังแล้วนี่มัน “ผู้ใหญ่ (วัยทำงาน) มีปัญหา” ชัดๆ (สัสเอ๊ย 555)
ลองนึกภาพดู เด็กวัยรุ่นคนนึง ที่เคยมีปัญหา พ่อแม่ไม่เข้าใจ หลงทางชีวิต ติดยา ฯลฯ ถึงจะเคยคิดทำตัวกบฎต่อพ่อแม่ โรงเรียน สังคม แค่ไหน ยังไงซะ โตมาวันหนึ่ง สุดท้าย ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า เราต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวในสังคมนี้ เพื่อจะให้อยู่รอด มีเงินยาไส้ ก็ต้องยอมรับ “บรรทัดฐาน” ทำตาม “กฎระเบียบ” เคยย้อมผมตัดผมขัดใจแม่แค่ไหน แต่พอทำงานบริษัท ผมเผ้าแต่งตัวก็ต้องทำตามที่เขากำหนด
ถ้าชีวิตต้องทำตามเขาบอก แค่ “เสื้อผ้าหน้าผม” ก็คงดีอยู่หรอก…แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ…
การที่จะอยู่เป็นแรงงานรับจ้างให้ได้ ให้เขายังจ้างคุณต่อไป คุณจะต้องถูกเรียกร้องอะไรที่มากกว่านั้น “เยอะ” ส่วนมันคืออะไรนั้น…
…ให้เนื้อเพลงนี้ มันเล่า ให้พวกเราฟังไปด้วยกันดีกว่าครับ
Your blades are sharpened with precision.Flashing your favorite point of view. I know you’re waiting in the distance. Just like you always do, just like you always do.Already pulling me in. Already under my skin. And I know exactly how this ends, I…
(ที่มา pantip)
ชีวิตมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่น คุณต้องเจอ “เปิดวิทยุกายบริหาร” (ラジオ体操 ราจิโอไทโซ) ยามเช้า (เขาว่าบางที่มียามบ่าย) เพื่อเป็นการรับประกันว่า คุณจะเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็ง ไม่ขี้เกียจ ไม่อู้งาน (ไม่นับความที่ต้องเก่ง ดี มีผลงาน อีกน๊ะ) เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วย “กฎระเบียบ” ที่มองไม่เห็น ไม่ได้บังคับอย่างเปิดเผย แต่ถ้าไม่ทำ อาจถูกมองแบบ…นะ เหมือนมีใครคอยจับตาดูจากที่ไกลๆ (I know you’re waiting in the distance)
สุดท้าย เมื่อคุณถูกตีกรอบให้ทำไปนานๆ ความคิดจิตใจของคุณก็จะดูดเข้าไป (Already pulling me in) กฎระเบียบที่มองไม่เห็นนี้ จะฝังเข้าไปข้างในตัวคุณ (Already under my skin)
(I) Let you cut me open just to watch me bleed. Gave up who I am for who you wanted me to be.Don’t know why I’m hopin’ for what I won’t receive. Fallin’ for the promise of the emptiness machine.The emptiness machine.
(ที่มา LINE TODAY)
ทำงาน ทุกอย่างต้องเป๊ะ ห้ามทำผิดพลาด ต้องโชว์ว่าขยัน ใครห้าโมงปั๊บออก ระวังจะแป้ก ทำงานเสร็จ ต้องสังสรรค์ กินเหล้าเข้าสังคมกับคนที่ทำงาน ไม่ทำจะโดยหาว่าเป็นคนไม่เอาพรรคเอาพวก กินเหล้าเมา กลับบ้านดึกดื่น เช้าก็ต้องแหกขี้ตานั่งรถไฟฟ้ามาทำงาน วนไปแบบนี้ อย่าถามถึงคุณภาพชีวิตในด้านอื่นเลย ชีวิตครอบครัว สุขภาพ ใช้ชีวิตแบบนี้ แก่ตัวมาร่างพังแน่นอน (And I know exactly how this ends, I…Let you cut me open just to watch me bleed.)
ผมเคยอ่านการ์ตูนเรื่องนึง ชื่อเรื่อง “Replay-J” (เอาพล็อตเรื่องจากนิยาย Replay โดย Ken Grimwood มาดัดแปลง) ชีวิตพระเอกที่เคยเหมือนจะรุ่ง เป็นนักกีฬารักบี้สมัยมหาลัยแล้วก็ได้เข้าทำงานเพราะตรงนี้แหละ แต่วันเวลาผ่านไป ชีวิตมนุษย์เงินเดือน ได้เปลี่ยนหนุ่มหล่อนักกีฬาให้กลายเป็นตาแก่พุงยื่นหัวล้าน (Gave up who I am for who you wanted me to be) หน้าที่การงานก็ไปไม่ถึงไหน ลูกเมียก็รังเกียจ สุดท้ายก็โดนย้ายไปทำงานที่ไกลๆ (เหมือนโดนเนรเทศ) แล้วก็หัวใจวายตาย
ยุคที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังฟูเฟื่องเรืองรุ่ง มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายทำงานหนักเกินคน จนมีปรากฎการณ์ว่า “ทำงานจนตาย” (過労死 คะโรชิ) เพราะหวังว่า ทำงานตรงนี้แล้วจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ มีบ้านเป็นของตัวเอง มีเงินกินตอนแก่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะไปถึงตรงนั้นได้ ยิ่งเศรษฐกิจเลวลง สุดท้าย มันก็ลงมาถึงจุดที่ว่า “มีงานทำก็ดีแล้ว” พวกเขา ถูกทำให้หวัง ในสิ่งที่พวกเขาหลายคน สุดท้ายก็ไม่ได้รับ (Don’t know why I’m hopin’ for what I won’t receive.)
ผมอ่านบทความนี้แล้วก็ฮาดี รายได้ 10 ล้านเยนต่อปี คือความฝันของมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่น ผมอ่านเสร็จ ตัดมาที่ภาพนี้ครับ (ที่มา facebook)
ที่จริงมันมีหนังญี่ปุ่นที่เป็น “หนังซอมบี้” (จริงๆ แปลงมาจากมังงะ) ที่เอาเรื่องชีวิตมนุษย์เงินเดือนมาแดกดันด้วยนะ ชื่อเรื่อง “zom 100” ใครยังไม่ได้ดูก็ไปดูได้นะครับ (ใน Netflix) ส่วนผมยังไม่เคยดูเรื่องเต็ม ดูแต่สปอยล์ในยูทุปครับ (นั่งดูกับลูก)
(ที่มา IMDB)
Goin’ around like a revolver. It’s been decided how we lose.’Cause there’s a fire under the altar.I keep on lyin’ to, I keep on lyin’ to. Already pulling me in. Already under my skin. And I know exactly how this ends, I…Let you cut me open just to watch me bleed. Gave up who I am for who you wanted me to be.Don’t know why I’m hopin’ for what I won’t receive. Fallin’ for the promise of the emptiness machine.The emptiness machine.
เมื่อเศรษฐกิจถดถอย เลวร้ายลง ระบบการจ้างงานตลอดชีพก็เริ่มสั่นคลอน ไหนจะธรรมเนียมที่ต้องรับเด็กจบใหม่ทุกปีๆ จะลอยแพใครดีล่ะ? อาจจะเอาคนที่แลดูไม่มีสมรรถภาพแล้ว หรือผลงานไม่มี หรือเคยมีคดีทำงานผิดพลาด หรืออาจจะอะไรก็ช่าง ไม่ต่างจากรัสเซียนรูเล็ตต์ (Goin’ around like a revolver. It’s been decided how we lose) ส่วนคนที่เหลือ จงทำงานไป ให้มี “ประสิทธิภาพ” มี “ผลงาน” อ้อ “อย่าทำอะไรผิดพลาด” ด้วยล่ะ มันก็เหมือนกับมีไฟคอยลนตูดตลอด หาความสุขสงบใจไม่ได้เลย (.’Cause there’s a fire under the altar.I keep on lyin’ to, I keep on lyin’ to) และนี่ก็เป็นช่องให้เกิดบริษัทที่เอารัดเอาเปรียบแรงงานที่เรียกว่า “บริษัทสีดำ” (แบล็กคอมปานี) ขึ้น (มีงานทำก็ดีแล้วไง ทำเข้าไปสิวะ)
I only wanted to be part of something I only wanted to be part of, part of. I only wanted to be part of something. I only wanted to be part of, part of. I only wanted to be part of something. I only wanted to be part
ใช่สิ เป็นส่วนหนึ่งของอะไรสักอย่าง (to be part of something) มนุษย์เงินเดือนคือส่วนหนึ่งของบริษัท บริษัทคือส่วนหนึ่งของกลไกเศรษฐกิจ แล้วยังไงอีก?
I let you cut me open just to watch me bleed. Gave up who I am for who you wanted me to be. Don’t know why I’m hopin’, so fuckin’ naive. Fallin’ for the promise of the emptiness machine. The emptiness machine
นั่นสิ ทำไม “กูถึงแม่งโคตรโง่เลยว่ะ” (so fuckin’ naive) ที่ไปเชื่อคำสัญญา “ลมๆ แล้งๆ ลวงๆ หลอกๆ” สำหรับผม ผมมองว่า มันมีสองอย่าง
หนึ่ง โง่ เพราะถูกปลูกฝังให้คิด ตีกรอบให้เป็น (เรียนโรงเรียนดีๆ จะได้เข้ามหาลัยดีๆ จะได้เข้าบริษัทดีๆ จ้า) แบบ เหมือนทางเดินชีวิตมีอยู่ทางเดียว
สอง ไม่ได้โง่หรอก แต่ต้องจำใจ ไม่โง่ก็เหมือนโง่ เพราะชีวิตไม่ได้มีทางเลือกมากมายนัก
ครับ จบเพลงแล้ว มันส์สะใจดีไหมครับ
จริงๆ แล้ว เรื่องราวของ “ผู้ใหญ่ (วัยทำงาน) มีปัญหา” เนี่ย มันไม่ได้มีแต่ญี่ปุ่นหรอก ฝรั่งก็เป็น จีนก็เป็น ไทยก็เป็น จีนนี่ได้ยินเคสที่มัน extreme มากๆ (ซึ่งไม่รู้จริงแค่ไหน) ว่าขนาดที่เด็กรุ่นใหม่วัยทำงานถึงกับออกจากงาน แล้วไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แลกเงินเล็กๆ น้อยๆ จากพ่อแม่ ประมาณว่าทนความกดดันของชีวิตการทำงานไม่ได้ (แล้วจะเรียนหนังสือจบปริญญามาทำมะเขืออะไร ผมสบถในใจ) ญี่ปุ่นเองก็มีปรากฎการณ์ที่ว่าเด็กรุ่นใหม่บางคนไม่ยอมทำงานบริษัท (งานประจำ) ทำงานพิเศษรายชั่วโมงก๊อกแก๊กๆ ไปวันๆ พอยาไส้ ไม่คิดจะสร้างฐานะตั้งตัวอะไร (เคยอ่านการ์ตูนเรื่องหนึ่ง อุตส่าห์เรียนจบซะดิบดี ปรากฎว่าพอไปทำงานบริษัท เข้ากับสังคมชีวิตคนทำงานบริษัทไม่ได้ หลังจากลาออกจากบริษัทที่สาม กลายเป็น “ฮิคิโคโมริ” ไปซะงั้น) เด็กไทยบางคนเรียนจบออกมา มาคร่ำครวญในโซเชียลว่า “โดนทุนนิยมทำร้าย” ผมก็อยากจะถามว่า งั้นเอาระบบ “นารวม” แทนไม๊ (ฮา)
เด็กรุ่นใหม่จีนหรือญี่ปุ่นหรือไทย ยังโชคดีที่มีพ่อแม่อุ้มชู แต่สังคมฝรั่ง (โดยเฉพาะอเมริกัน) ไม่มีสิ่งนี้หรอกนะครับ โตแล้วก็ต้องออกจากบ้านพ่อแม่ ออกไปหาเลี้ยงตัวเอง บางคนต่อให้ชีวิตล้มเหลวต้องไปนอนข้างถนน ยังไม่คิดจะบากหน้ากลับไปหาพ่อแม่เลย
ผมชอบเอ็มวีนี้นะ คือมันมีภาพของคนทำงานระดับกลางค่อนไปทางล่าง (พนักงานทำความสะอาด คนทำงานร้านอาหาร คนส่งของ) มันแบบ ได้ใจดีว่ะ
มันอะไรให้พูดต่ออีกเยอะ แต่จบเพลงแล้ว พอเท่านี้ดีกว่า อ้อ ที่ผมต้องจั่วเรื่อง “ซาลารีมัง” ก็ จะได้เป็นญี่ปุ่นไง ใช่ไหมครับ บก. 555555 (ผมกบฎกับบก. แบบนี้จะเป็นไรมั๊ยเนี่ย)?
อาทิตย์หน้าจะเขียนอะไรไว้ค่อยว่ากันนะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 10] “โคเซ็นยูโด” ยูโดท่านอน ที่เกิดก่อน บราซิลเลียนยูยิตสู
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 9] หลุยซ์ ฟรังกา ปรมาจารย์ BJJ นอกวงศ์เกรซี่
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 8] Soshihiro Satake บิดาแห่ง BJJ ผู้ถูกลืม?
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 7] ทานิ ยูคิโอะ ผู้เอาวิชายูยิตสูไปเผยแพร่ถึงเกาะอังกฤษ
– ประวัติศาสตร์ของ “ยูยิตสู” ฉบับ Renzo Gracie [เชิงอรรถ 6] ทานาเบะ มาตาเอมอน ผู้ซึ่งสี่จตุรเทพยังขยาด!
#The Emptiness Machine ทำไมผมฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงชีวิต “ซาลารี่มัง” サラリーマン จังเลยห๊ะ?